“ประเดิมชัย” เตือนเครือข่ายฝาก ส.ต.ท.หญิง เข้าข่ายผิด ม. 157 เตรียมส่งข้อมูล กมธ.ป.ป.ช. เรียกสอบต่อ

นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากที่ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา (รักษาการ) นายกรัฐมนตรี กรณีการเข้าเป็นตำรวจของ ส.ต.ท.หญิง และการกระทำที่อาจเป็นการเข้าข่ายค้ามนุษย์เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2565 และแม้ พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาชี้แจงในสภา แทนรักษาการนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ข้อมูลทั้งหมดล้วนไร้จุดหมายปลายทาง ที่จะได้มาซึ่งข้อเท็จจริงโดยเร็ว ซึ่งการตอบคำถามของ พล.อ.ชัยชาญ อาจเกิดจากการที่ท่านไม่ทราบ หรือไม่อยากตอบ ก็เป็นได้ แต่ความเห็นส่วนตัวมองว่าพล.อ.ชัยชาญหลักเลี่ยงที่จะตอบคำถามมากกว่า และแม้มีการตั้งกรรมการเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยให้ยึดถือสำนวนการสอบสวนเดิมเป็นหลัก อาจทำให้สังคมมองว่าเป็น “ตัดตอน” ผลักภาระให้หน่วยงานอื่น ทั้งที่ความผิดในบางประเด็น มีหลักฐานชัดแจ้งเป็นที่ประจักษ์และเต็มไปด้วยข้อสงสัย เช่น

  1. กระบวนการรับบุคคลเข้ารับราชการตำรวจทำอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ เป็นไปด้วยเส้นสนกลในหรือไม่
  2. ส.ต.ท.หญิง ชื่อไปปฏิบัติงานที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งมีสิทธิประโยชน์ช่วยเหลือจากการปฏิบัติมากมาย เช่น เบี้ยเลี้ยง เบี้ยเสี่ยงภัยและอายุราชการที่ทวีคูณ เท่าที่ทราบข้อมูลในเบื้องต้น มีการสร้างขบวนการขึ้นมาเพื่อสร้างการเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงานให้ ส.ต.ท.หญิง

นอกจากกระบวนการสอบสวนที่ยังต้องหาคำตอบอีกมากมาย การกระทำของผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการฝากฝังให้ ส.ต.ท.หญิงได้รับการบรรจุเข้าเป็นข้าราชการตำรวจและมีชื่อช่วยงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เรื่องนี้คนที่เป็นผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ผู้บัญชาการทหารบก แม่ทัพภาค 4 ผู้อำนวยการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ไม่ใช่เพียงการย้าย ส.ต.ท.หญิงคนดังกล่าวกลับต้นสังกัดแล้วเรื่องก็จบไปเท่านั้น แต่ผู้บังคับบัญชา และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการแต่งตั้งโยกย้าย ส.ต.ท.หญิงคนดังกล่าวโดยมิชอบ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน 2 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปีหรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ”

นอกจากนี้ ตนยังได้ข้อมูลมาว่า ในหน่วยงาน กอ.รมน.ภาค 4 มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานช่วนงาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กว่า 50,000 คน หากมีกรณี ส.ต.ท.หญิง เพียงแค่ 1% หรือ 500 คน ในหน่วยงานราชการก็ถือเป็นการกระทำที่จงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบที่สร้างความเสียหายให้กับงบประมาณแผ่นดิน เพราะนั่นคือภาษีประชาชนที่ต้องจ่ายเป็นเงินเดือนและค่าตอบแทนมหาศาล

ทั้งนี้ ตนจะรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง หลักฐานในเบื้องต้นร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) เพื่อเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลชี้แจงโดยเร็วที่สุด

“บุคคลที่เป็นเจ้าพนักงาน มีฐานะนอกเหนือไปจากประชาชน เพราะมีอํานาจหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ มีสถานะเป็นผู้รักษากฎ และห้ามไม่ให้ผู้อื่นทำผิดกฎ แต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่รัฐทำผิดเสียเอง และยิ่งปรากฎมีหลายกรณีมากขึ้นๆ หากรวบรวมดูแล้วพบว่า ในรัฐบาลนี้ เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นผู้คุมกฎ แต่ทำผิดกฎโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายมากมายหลายกรณี จนทำให้วิกฤตศรัทธารัฐบาลอยู่ในขั้นติดลบ อย่างนี้ผู้นำไม่ว่าจะเป็นใครที่มาจากรัฐบาลนี้คงไม่สามารถปกครองประเทศได้ เพราะคนทำผิดกฎหมายเต็มบ้าน เต็มเมือง เต็มสภา” นายประเดิมชัย กล่าว