“ชญาภา” ห่วงน้ำท่วมหลายพื้นที่ ชี้รัฐต้องเฝ้าระวัง ปชช.นาข้าวเสียหาย – จี้ สธ.รายงานสถานการณ์ “ฝีดาษลิง” อย่านิ่งนอนใจ หวั่นซ้ำรอยโควิด
นางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำหลาก และน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ กรุงเทพมหานครจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลายแห่งเริ่มมีความจุสูงจนต้องเร่งระบาย โดยเฉพาะเขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ปริมาณน้ำในเขื่อนอยู่ที่ประมาณ 70% ส่วนการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา รัฐบาลต้องใส่ใจติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะหากมีการปรับการระบายน้ำ อาจทำให้น้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตรหลายแห่ง ในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน เช่น จังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่นา หากมีน้ำท่วมขังติดต่อกันหลายวัน จะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย จึงอยากให้รัฐบาลจัดเตรียมแผนการเฝ้าระวังน้ำ หากมีความจำเป็นต้องระบายน้ำ ต้องเร่งแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ท้ายเขื่อนและพื้นที่รับน้ำอย่างทันท่วงที เพราะหากปล่อยน้ำท่วมโดยไม่ดูดำดูดีพี่น้องเกษตรกร ไร้ซึ่งการวางแผนป้องกันหรือรับมือ เท่ากับซ้ำเติมทุกข์ยากปัญหาปากท้องที่กำลังเผชิญอยู่ให้ฟื้นตัวยากลำบากมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามขณะนี้พื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลเริ่มได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำเหนือที่ไหลลงมาเพื่อออกสู่ทะเล และเนื่องจากช่วงเวลานี้เริ่มมีน้ำทะเลหนุน ทำให้พื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มมีน้ำล้นตลิ่งและเข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัยของพี่น้องประชาชนแล้ว จึงขอตั้งคำถามว่ารัฐบาลได้เตรียมการรับมือ ป้องกัน และวางแผนแก้ปัญหาในภาพใหญ่อย่างไร เพราะในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ 8 ปี เกิดน้ำท่วมหลายครั้ง ใช้งบประมาณแผ่นดินต่อปีไปมหาศาล แต่ยังไม่เห็นแนวทางใดๆ ในการวางแผนและบริหารจัดการน้ำในระยะยาวแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ตนมองว่า พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ท่านเล่นการเมืองเก่งด้วยการเกาะกระแสนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการ กทม. โดยโทรศัพท์สายตรงให้ทหารมาช่วยในพื้นที่ กทม. แต่หากมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน อย่าลืมว่าน้ำท่วมทั่วทั้งประเทศ จากภาคเหนือ กลาง จรดอีสาน และท่วมมาต่อเนื่องหลายสัปดาห์ จึงอยากให้พลเอกประวิตรพิจารณาดูแลทุกพื้นที่อย่างรอบคอบด้วย
นางสาวชญาภา ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงในไทยว่า หลังจากที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงยืนยันรายที่ 7 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2565 ส่วนตัวมีความเห็นว่า กรมควบคุมโรคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังการติดต่อโรคนี้อย่างใกล้ชิดให้เทียบเท่ากับโรคระบาดใหม่อื่นๆ รวมถึงต้องรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อด้วยความเป็นจริง เนื่องจากที่ผ่านมานับตั้งแต่ตรวจพบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิงรายแรกในไทยตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 แล้วมีเพียงผู้ติดเชื้อไม่ถึง 10 ราย หากมองในแง่ดีคงเพราะผู้ติดเชื้ออยู่ในวงแคบ แต่หากมองในมุมกลับ สังคมย่อมมีสิทธิเคลือบแคลงสงสัยว่าเป็นการรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ตรงตามความเป็นจริงแล้วหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาจากการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการรายงานผู้ติดเชื้อที่สร้างความสับสนให้กับประชาชนหลายครั้ง ล้วนทำให้ประชาชนเกิดความหวั่นวิตกถึงการควบคุมการระบาดของโรคอื่นๆ ตามไปด้วย
“การรายงานความจริง ไม่รายงานต่ำกว่าความจริง ไม่ปกปิด เป็นความรับผิดชอบของรัฐ ที่มีหน้าที่ดูแลชีวิตประชาชน โรคระบาดเป็นเรื่องที่คนไทยไม่อยากเจอ แต่หากต้องเจอก็ควรรู้เท่าทัน ป้องกันและรับมือได้ทัน รัฐเองควรรับผิดชอบในจุดนี้อย่างหนัก อย่านิ่งนอนใจ อย่าให้ซ้ำรอยโควิดที่การรายงานตัวเลขสร้างความสับสนให้ประชาชน” นางสาวชญาภา กล่าว