เพื่อไทยยัน สนับสนุนกัญชาการแพทย์ ไม่ใช่กัญชาสันทนาการ ย้ำต้องมี พ.ร.บ. ควบคุม แต่สาระต้องดำรงเจตนาเพื่อการแพทย์ การวิจัย ส่งเสริมรายได้ประชาชน
นายสุทิน คลังแสง ส.ส. มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร่วมกับ นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี และนายดะนัย มะหิพันธ์ ส.ส.อำนาจเจริญ พรรคเพื่อไทย กล่าวชี้แจงถึงความสับสนของสังคม และยืนยันจุดยืนพรรคเพื่อไทย กรณีพรรคเพื่อไทยเสนอให้ถอนร่าง พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ออกจากวาระการประชุมเมื่อวันที่ 14 กันยายน 65 ที่ผ่านมาว่า พรรคเพื่อไทยเห็นด้วยกับ ‘กัญชาเพื่อการแพทย์ การวิจัย และเสริมสร้างรายได้ให้กับประชาชน’ แต่ไม่เห็นด้วยกับ ‘กัญชาเสรีเพื่อการสันทนาการ’
นายสุทิน กล่าวอธิบายความชัดเจนเกี่ยวกับกรณีนี้เพิ่มเติมว่า พรรคเพื่อไทยสนับสนุนและให้โอกาสพรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลเสนอกฎหมายกัญชา กัญชง แต่กลับพบความผิดพลาด ที่เพื่อไทยท้วงติงมาตลอดหลายด้านมาโดยตลอด อาทิ การประกาศปลอดล็อกกัญชาก่อน เสนอกฎหมายควบคุมทีหลัง นับจากปี 2562-2564 รัฐบาลมีเวลาศึกษาวางแผนเพื่อนำนโยบายออกมาใช้ในทางปฏิบัติควบคุม แต่รัฐบาลกลับใช้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ประกาศปลดล็อกตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 64 ทั้งที่ไม่มีกฎหมายควบคุม และรายละเอียดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ก็ไม่ใช่กัญชาเพื่อการแพทย์ แต่เป็นกัญชาเพื่อการสันทนาการ โดยข้อนี้ชี้ชัดจากเนื้อหา ซึ่งไม่มีข้อใดห้ามเสพ แถมยังมีข่าวรัฐมนตรีสาธารณสุขชวนให้ประชาชนพี้กัญชา
พรรคเพื่อไทยเคย ‘ยกมือรับหลักการ’ ให้รัฐบาลเสนอ พ.ร.บ.กัญชา กัญชง โดยตั้งความหวังว่า ในชั้นกรรมาธิการจะมีหลักการควบคุมที่ดี ตามข้อกังวลห่วงใยภัยของกัญชาจากทุกภาคส่วน แต่ในชั้นกรรมาธิการ ตัวแทนเพื่อไทยเป็นเสียงส่วนน้อย จึงไม่สามารถทัดทานเนื้อหาที่ผิดไปจากเจตนาเดิมได้ ผลสุดท้าย พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่เข้าสู่สภา แม้จะมีจำนวนข้อกำหนดเพิ่มขึ้น แต่ข้อกำหนดที่เพิ่มขึ้นเหล่านั้น ก็ยังส่งเสริมให้เกิดการใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ฉบับนี้น่าผิดหวัง
นายสุทิน กล่าวอีกว่า ตัวอย่างเนื้อหาใน พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ที่ถูกเสนอสู่สภา มีส่วนที่เพื่อไทยรับหลักการไม่ได้คือ ไม่มีบทหรือมาตราใด ‘ห้ามเสพ’ ห้ามอย่างเดียวคือห้ามเสพในที่สาธารณะ ข้อระบุ ห้ามขายให้กับคนอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งเห็นชัดว่ายังไม่ครอบคลุมเยาวชนที่ต้องได้รับการคุ้มครองดูแล การเพิ่มจำนวนการปลูกต้นกัญชา จากเดิมครัวเรือนละ 6 ต้น เป็น 15 ต้น แต่ระบุครอบไว้ว่า ไม่มีวัตถุประสงค์ให้จำหน่าย ไม่ให้ขาย แต่ให้บริโภคในครัวเรือน คือ ปรุงเป็นอาหาร กินเป็นยา และเสพ! ซึ่งพิจารณาทั้ง 3 อย่างแล้ว ให้โทษมากว่าคุณ คือให้บริโภคโดยไม่มีหลักการแยกสาร THC ซึ่งเป็นอันตราย ใช้เพียงสาร CBD ที่เป็นประโยชน์ หรือการนำเข้าตำหรับยาแผนไทย ก็ต้องใช้ควบคู่สมุนไพรชนิดอื่น ซ้ำร้ายที่สุด คือเรื่องการส่งเสริมรายได้เพิ่มให้เกษตรกร ผิดไปจากหลักการที่ขอไปจากสภา โดยบัญชีท้าย พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ฉบับนี้ พบว่า หากจะขออนุญาตปลูก จะต้องซื้อใบอนุญาตรายละ 50,000 บาท จึงเป็นข้อสงสัยว่า ถ้าจะส่งเสริมเกษตรกรจริงๆ จะต้องไม่มีข้อนี้
“หากจะพูดเชิงการเมือง ข้อกล่าวหาว่าพรรคฝ่ายค้านแตะถ่วงและขัดขวาง ขอให้เข้าใจว่า การยับยั้งครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงพรรคฝ่ายค้าน หรือพรรคเพื่อไทย แต่ยังมีพรรคร่วมรัฐบาลเอง ที่เห็นตรงกัน ทุกฝ่ายทั้งประชาชน การเมือง สาธารณะสุข องค์กรทางการแพทย์ แสดงท่าทีชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีแต่เพียงฝ่ายรัฐบาลบางพรรคเท่านั้นที่ไม่ฟังประชาชน ไม่ฟังสภา ไม่ฟังพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน จึงเป็นข้อสังเกตว่า ที่ไม่ฟังและดึงดันจะทำเพื่ออะไร
หลังจาก พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ถูกถอน ก็เกิดดราม่าว่า หากกฎหมายไม่ผ่าน ความยุ่งเหยิงจะเกิดขึ้น ขอให้เพื่อไทยรับผิดชอบ จึงขอชี้แจงว่า การไม่ผ่านกฎหมายฉบับนี้ คือ ‘การถอนให้กลับไปทบทวนเนื้อหา’ ไม่ใช่การตีตก ดังนั้น หากท่านใช้ประกาศกระทรวงสาธารณะสุขให้ปลดล็อกกัญชาได้ ท่านก็สามารถใช้ประกาศกระทรวงสาธารณะกลับมาควบคุมกัญชาได้เช่นเดียวกัน หรือหากประกาศควบคุมไม่ได้ ก็ย้อนกลับ ให้กัญชาเป็นยาเสพติดเหมือนเดิม
และข้ออ้างที่ว่า หากกัญชากลับเป็นยาเสพติด ก็จะใช้ในทางการแพทย์ไม่ได้ เป็นเรื่องไม่จริง เพราะประเทศไทยใช้กัญชาในทางการแพทย์ตั้งแต่ก่อนปี 2562 แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปลดล็อก และการสร้างความตื่นตระหนกที่ว่า หากกฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่าน คนจะล้นคุก ถูกจับทั่วประเทศ คือเจตนาสร้างความเข้าใจผิด ชัดเจนว่ากฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลัง ดังนั้นจะไม่มีการจับกุมคนที่ปลูกไปแล้ว แต่จะมีผลกับคนที่จะปลูกในอนาคตเมื่อกัญชาถูกประกาศกลับมาเป็นยาเสพติด ซึ่งมั่นใจว่าหากมีการบอกกล่าวให้เวลาล่วงหน้า ก็จะไม่มีประชาชนทำผิด กลับกัน หากออกกฎหมายฉบับนี้มาต่างหาก คนจะล้นคุก คือคนจะเสพยา ติดยาเต็มบ้านเมือง อาชญากรรมก็จะตามมา คุกจะไม่มีที่ขังคน” นายสุทิน กล่าว