‘ลิณธิภรณ์’ ชี้ครบรอบรัฐประหาร 49 คือ 16 ปีแห่งความหลังที่ขมขื่นเสื่อมถอย รัฐประหารต้องสูญพันธ์ุ เหตุไม่ใช่คำตอบของประเทศ
ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ (ดร.หญิง : อรุณี กาสยานนท์) รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้เมื่อ 16 ปีที่แล้ว รัฐบาลภายใต้การนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ณ วันนี้ ผ่านมา 16 ปี ประเทศไทยเสื่อมถอยลงทุกมิติ ทั้งมิติในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม คนไทยได้เรียนรู้ร่วมกันแล้วว่า รัฐประหารไม่ใช่ข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องในการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย เพราะการเกิดขึ้นของรัฐประหารในปี 2549 และในปี 2557 ส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้ รวม 4 ด้าน ได้แก่
1 .วิกฤตศรัทธาต่อระบบราชการและกระบวนการยุติธรรมถดถอยตกต่ำ : หลายกรณีที่เกิดขึ้นในสังคมไทย องค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้น และระบบนิติรัฐนิติธรรม หรือระบบอุปถัมภ์เบ่งบาน อย่างกรณี ส.ต.ท.หญิง ล้วนทำให้ประชาชนเกิดคำถามและข้อสงสัยต่อทั้งระบบราชการและกระบวนการยุติธรรมไม่มากก็น้อย จนทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อระบบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
2.การทุจริตคอร์รัปชันเพิ่มขึ้น : จากการประเมินขององค์กรโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International :TI) ซึ่งได้จัดการประเมินความเชื่อมั่นต่อการทุจริตในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย ได้ชี้ให้เห็นว่าการทำรัฐประหารที่ใช้ข้ออ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ประชาชนจากนักการเมืองที่โกงกิน เป็นวาทกรรมเพียงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำรัฐประหารเท่านั้น เพราะในปี 2564 อันดับการทุจริตในประเทศไทยอยู่อันดับที่ 104 ตกต่ำสุดในรอบ 20 ปี แต่ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลพลเรือนของ ดร.ทักษิณ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 59 เป็นอันดับที่สูงสุดในรอบ 20 ปี ตัวเลขเหล่านี้ คือเครื่องยืนยันว่ารัฐประหารและรัฐบาลที่มีที่มาจากรัฐประหาร ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตและคอร์รัปชันได้ ซ้ำร้ายปัญหายิ่งรุนแรงมากขึ้น
3.รัฐบาลกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน : รัฐบาลสืบทอดอำนาจจากผู้นำรัฐประหาร กลายเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับประชาชนมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในช่วง 10 ปี จากสถิติในปี 2565 ยอดรวมจำนวนคดีทางการเมืองมีกว่า 1,065 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดีกว่า 1,808 คน และเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ถึง 280 ราย พวกเขาหมดอนาคต เพียงเพราะความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากรัฐบาล
4.การเติบโตทางเศรษฐกิจถดถอย : รัฐบาลสืบทอดอำนาจที่ไร้ซึ่งความรู้ ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อต้องเจอกับวิกฤตโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 จึงไม่สามารถบริหารประเทศภายใต้วิกฤตได้ สะท้อนได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ทิ้งดิ่งติดลบหนักสุดถึงกว่า 6% โดยจากการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่มาถึง 8 ปี ทำจีดีพีประเทศคิดเป็นมูลค่าเพิ่มแค่ 2.4 ล้านล้านบาท แตกต่างจากรัฐบาล ดร.ทักษิณ แม้มีโอกาสบริหารประเทศครบวาระ และพี่น้องประชาชนเลือกเข้ามาในสมัยที่ 2 รวมการเป็นรัฐบาลเพียง 5 ปี ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ต้องเจอกับโรคระบาดใหม่ เช่น ไข้หวัดนก แต่จีดีพีไม่เคยติดลบ ยังทำให้มูลค่าจีดีพีในประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 3 ล้านล้านบาท เช่นเดียวกับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศเพียง 3 ปี แม้จะต้องเจอกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ปีแรกของการเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่จีดีพีไม่ติดลบ ซ้ำยังทำให้มูลค่าจีดีพีในประเทศตลอดอายุของการเป็นรัฐบาล เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ซึ่งมีที่มาจากการรัฐประหารและสร้างกติกาเพื่อให้ตนเองอยู่ในอำนาจมาถึง 8 ปี ทุกวันนี้คนไทยยังคงจนลง รัฐบาลขยันสร้างหนี้เพิ่ม เพราะหาเงินไม่เป็น ใช้เงินเก่งมือเติบ อยู่มา 8 ปี กู้เงินในงบประมาณไปแล้วเกือบ 4 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ยังไม่รวมหนี้นอกงบประมาณ พลเอกประยุทธ์สร้างหนี้มากกว่ารัฐบาล ดร.ทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ และยังสร้างหนี้สาธารณะมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 10 ล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือนยังพุ่งสูงทะลุถึง 90% ต่อจีดีพี สูงสุดในรอบ 18 ปี ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่มาจากทหารได้อย่างชัดเจนที่สุด
“ผ่านมา 16 ปี กับการทำรัฐประหาร 2 ครั้ง ผู้มีอำนาจเขียนกติกาเพื่อสืบทอดอำนาจ แต่ก็ยังไม่สามารถนำพาประเทศพ้นจากความจน ตรงกันข้ามกลับจมดิ่ง ล้าหลังและเสื่อมถอย หากรัฐบาล ดร.ทักษิณ ได้มีโอกาสบริหารประเทศ 8 ปี เหมือนที่พลเอกประยุทธ์ทำ ประเทศไทยวันนี้คงกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย นำพาประเทศไทยยืนผงาดในเวทีโลก ทั้งหมดคือบทเรียนที่มีค่าที่คนไทยต้องตระหนัก และกำจัดรัฐประหารให้สูญพันธ์ุ เพราะมันไม่ใช่คำตอบของสังคมไทย” ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าว