ดร.สุชาติ! “รัฐบาลบริหารผิดทิศทาง ส่งเสริมเอกชนผูกขาด ประชาชนจึงต้องยากจน”
1) ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลบริหารประเทศผิดทิศทาง ส่งเสริมการผูกขาดไฟฟ้า น้ำมัน แก๊ส และกำลังจะผูกขาดโทรศัพท์ ทำให้ราคาสินค้าเหล่านี้แพงกว่าปกติมาก ไม่มีประเทศไหนที่ผูกขาดแล้วสินค้าจะถูกลง ประชาชนจึงต้องยากจน เพราะประชาชนหาเงินมาได้ ก็ใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมัน ประชาชนจึงถูกสูบเงินไปหมดแล้ว
2) เงื่อนไขของการบริหารประเทศให้เติบโต มี 2 ประการคือ (ก) ความเก่ง ความฉลาด ความซื่อสัตย์ของผู้นำ ตราบใดที่เรายังมีผู้นำแบบขุนศึกขุนนางนายทุนผูกขาด ไม่มีความน่าเชื่อถือ ประชาชนก็ต้องยากจน (ข) รัฐบาลต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจที่ถูกต้อง จะไปคิดแต่นโยบายเล็กๆ น้อยๆ ไปทำไม นโยบายต้องใหญ่ๆ เป็นนโยบายด้านกลไกราคา ได้แก่ นโยบายด้านอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และปริมาณเงินหรือสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
3) ในช่วงรัฐบาลรัฐประหาร 8 ที่ผ่านมา รัฐบาลทำนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนผิดทิศทางเลย ไปดึงเงินบาทให้แข็งค่าถึง 29 บาทต่อเหรียญ ส่งออกติดลบเลย นี่เป็นตัวอย่างที่ใช้นโยบายผิด เป็นกรอบคิดแบบเจ้าขุนมูลนาย (ยกเว้นในช่วงหลังๆ ที่ผู้ว่าแบงค์ชาติคนใหม่เข้ามา) ตอนนั้น ประชาชนค้าขายส่งออกไม่ได้เลย เพราะเงินบาทแข็งมากเกินไป จริงๆ แล้ว ประชาชนเกือบทุกคน คือผู้ส่งออกที่แท้จริง เพียงแต่ไม่ได้ส่งออกโดยตรง ส่งผ่านบริษัทผู้ส่งออก แล้วเงินก็กระจายกลับมาถึงกรรมกร ชาวนา ชาวสวน ผ่านระบบการค้า พอค่าเงินบาทอ่อนลงไปจาก 29 บาท เป็น 37 บาทต่อเหรียญ ทุกคนจะได้เงินบาทเพิ่มต่อเหรียญจำนวน 8 บาทเลย
4) หากเราแก้ไขนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนให้ถูกต้อง เศรษฐกิจก็จะเจริญเติบโตกว่านี้ แบบ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เติบโต 6-7% ทั้งนั้น ประชาชนจะมีชีวิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่ใช่เราไปกลัวเงินทุนระยะสั้นไหลออก แล้วจะทำอย่างไรดี เงินสำรองระหว่างประเทศเรามีมากเกินไป เป็นอันดับที่ 12 ของโลก มีถึง 215,000 กว่าล้านเหรียญ เงินทุนระยะสั้น (ซึ่งก็คือเงินกู้จากต่างประเทศทั้งนั้น) ไหลออกเพียง 30,000-40,000 ล้านเหรียญไปหากำไรที่อื่น จะกังวลไปทำไม ความจริงหากไหลออกมากกว่านี้ ก็จะยิ่งดีกับระบบเศรษฐกิจจริง การส่งออกและท่องเที่ยวจะมากขึ้น ประชาชนจะมีงานทำและมีรายได้มากขึ้นด้วย
5) ประวัติความร่ำรวยเจริญรุ่งเรืองของประเทศจีน ก็คือ เติ้งเสี่ยวผิง ไปปรับลดค่าเงินหยวนลง 60% เมื่อ 30 ปีที่แล้ว จากนั้นสินค้าจีนก็ส่งออกได้มากมาย โดยส่งออกสินค้าพื้น ๆ เช่นเสื้อผ้า เพราะประชาชนไม่มีความรู้ เทคโนโลยีก็ไม่มี แต่เขาก็ได้กำไรรวมมาก แม้กำไรต่อหน่วยน้อย เพราะขายได้จำนวนมากเลย เขาก็ได้เงินไปลงทุนในเครื่องจักรใหม่ เทคโนโลยีใหม่ สินค้าใหม่ รัฐได้ภาษีเพิ่ม ก็ไปลงทุนในโครงสร้างบริการพื้นฐาน จนปัจจุบัน จีนส่งออกสินค้าดิจิทัล สามารถตั้งราคาได้เอง ไม่ต้องพึ่งค่าเงินหยวนอ่อนอีกต่อไป
6) ผู้นำทุกประเทศก็ต้องการให้ค่าเงินตนเองดูดี มีอำนาจซื้อสินค้าทั่วโลกได้มากๆ ให้เงินแข็งๆ แบบสวิตเซอร์แลนด์ กันทั้งนั้น ดังนั้น จึงต้องทำให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราสูง ค่าเงินจะแข็งตามอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จากนั้นให้ขายของเทคโนโลยีสูงๆ ขายของแบรนด์เนม ก็จะไม่ต้องพึ่งค่าเงินอ่อนอีกต่อไป แต่หากไปสั่งให้ค่าเงินแข็ง แล้วขายของส่งออกไม่ได้ GDP ก็จะตกประชาชนจะไม่มีงานทำ และอาจถูกโจมตีค่าเงิน เหมือนประเทศไทยในปี 2540 จนประเทศล้มละลายได้ ศ.สุชาติ กล่าว