“IMF” ชี้เศรษฐกิจโลกทรุด เพื่อไทย “เตือน” สัญญาณร้าย เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพสูง “ย้ำ” รัฐบาลใหม่ต้องมืออาชีพ นโยบายเน้นแก้วิกฤตประเทศ
กรณีนายคริสตาลีน่า จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกแถลงการณ์เตือนประชาคมโลกให้เตรียมรับมือกับปัญหาทางเศรษฐกิจ หลังจากประมาณการว่าประเทศต่างๆทั่วโลกราว 1 ใน 3 จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ซึ่งเป็นภาวะตามหลังเงินเฟ้อ และค่าครองชีพสูงที่เป็นผลจากภาวะสงคราม อันเป็นเหตุให้เศรษฐกิจสำคัญของโลกออกมาตรการต่างๆ เพื่อเผชิญกับผลกระทบนั้น ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย นำโดย นายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหาร นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส. เชียงใหม่ เขต 3 นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส. หนองคาย เขต 1 และนายภาควัต ศรีสุรพล ส.ส. ขอนแก่น เขต 5 ได้แสดงความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ในขณะที่ความสามารถของรัฐบาลปัจจุบันมีอยู่เพียงเท่านี้
โดยนายภาควัตกล่าวว่าไทยต้องเตรียมรับมือความต้องการสินค้าไทยและการลงทุนจากต่างประเทศมีความเสี่ยงที่จะลดลง รัฐบาลจึงต้องให้ความสำคัญกับการพึ่งพาการบริโภคในประเทศให้มากขึ้น ซึ่งทำได้ด้วยการอัดฉีดภาคแรงงานให้มีรายได้เพียงพอในการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่ไปกับการลงทุนขนาดใหญ่อย่างระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันมิให้เกิดน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซากซึ่งสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจและความเดือดร้อนต่อประชาชนเป็นอย่างมากแทบทุกปี โครงการลักษณะนี้สามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้คนในประเทศไปในเวลาเดียวกัน ในส่วนสินค้าส่งออกยังคงต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ต้องดูแลให้การเพาะปลูกมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดเพื่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่อาจแข่งขันกันอย่างรุนแรงด้วยการเกษตรแม่นยำ และมุ่งเพาะปลูกพืชที่ตรงกับความต้องการของตลาดโลก วิกฤตจึงยังมีโอกาส
ด้านนายจักรพลระบุว่า การรับมือครั้งนี้ต้องมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวคิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวมของประเทศ เพื่อให้ไทยเป็นเป้าหมายที่น่ามาท่องเที่ยว เป็นอันดับต้นๆของโลก ทั้งในเรื่องของความสวยงาม และความสะอาดของ แหล่งท่องเที่ยว ความสะดวกสบาย ราคาที่เหมาะสม และความปลอดภัยเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้นกว่าภาวะปกติขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด19 ให้รัดกุมด้วยการวางแผนการทำงานให้สามารถเข้าถึงประเทศเป้าหมายเพื่อให้มีเที่ยวบินที่เพียงพอเข้าสู่สนามบินนานาชาติที่มีอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยวหลักอื่นๆ อย่าง เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา เป็นต้น รวมทั้งการที่จะต้องใส่ใจดูแลให้มีเที่ยวบินที่เพียงพอที่จะเชื่อมต่อไปยังสนามบินในประเทศแห่งอื่นๆ ด้วย ซึ่งอาจต้องหารือกับสายการบินต่างๆ ในเรื่องความเหมาะสมหรือจำเป็นในการให้ลดภาระค่าใช้จ่าย หรือให้สิทธิประโยชน์กับสายการบินต่างๆ และต้องเลิกคิดจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดินที่ได้ไม่คุ้มเสีย เพื่อรักษาระดับราคาค่าโดยสารเครื่องบินมาไทยให้สามารถแข่งขันได้ แต่อาจกำหนดให้มีการตรวจ RT PCR หรือ เอทีเค จากบางประเทศต้นทางก่อนเดินทางเข้าไทย หรือเมื่อเดินทางมาถึง หากสถานการณ์มีความรุนแรง หรืออาจควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวต่อวันสำหรับประเทศต้นทางที่มีระดับผู้ติดเชื้อสูง เป็นต้น ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ไทยมีโอกาสรักษาฐานกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ต้องการความมั่นใจ ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่ใช้จ่ายสูง (High Spending) ให้เข้ามามากกว่าเดิมด้วย
นอกจากนี้นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ กล่าวว่าหากรัฐบาลมีความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจและมีหลักคิดในการบริหารงานไม่ดีพอ จะทำให้สภาวะเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจนถดถอยลงไปอีกทั้งๆที่ควรจะฟื้นตัวได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีมาตรการรองรับเงินเฟ้อและต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น ควบคู่กับการใส่ใจที่จะดูแลให้แรงงานมีรายได้ที่ควรต้องสูงขึ้น ให้เพียงพอกับการครองชีพ รัฐบาลต้องช่วยภาคอุตสาหกรรมทั้งขนาดใหญ่ และธุรกิจเอสเอ็มอี สามารถรับมือกับภาวะเช่นนี้ได้ ด้วยการยกเครื่องธุรกิจและสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆกันได้ ด้วยการลดภาระต่างๆ ให้ผู้ประกอบการตรึง ค่าไฟฟ้า และรักษาระดับค่าน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของภาคเอกชน จัดสรรเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ลดหรืองดเว้นภาษีธุรกิจ รวมถึงการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลและเพิ่มทักษะแรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิต ขณะเดียวกันประสานงานให้มีการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งและคู่ค้า เพื่อให้สินค้าส่งออกของไทยอยู่ในระดับราคาที่แข่งขันได้
“ประเทศไทยจะผ่านวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ไปได้ อยากเสนอให้พี่น้องประชาชนพิจารณานโยบายของพรรคการเมืองที่เน้นการแก้ไขปัญหาปากท้องเป็นสำคัญ รัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อไปต้องมีมาตรการรองรับที่ดี มีประสบการณ์ ในการแก้ไปปัญหาเศรษฐกิจ และเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ เพราะประเทศชาติและประชาชนจะเดินได้ต้อง “มีกิน อิ่มท้อง” ขณะเดียวกันอยากเสนอให้ประชาชนสะท้อนความคิดเห็นให้ทุกพรรคการเมืองและกลุ่ม ส.ว. ที่เหลือวาระเพียงหนึ่งปีรู้ซึ้งถึงปัญหาของประเทศที่กำลังต้องเผชิญว่า การเลือกพรรคการเมืองที่เป็นนั่งร้านของเผด็จการที่ความสามารถไม่ถึงเข้ามาจะเป็นการซ้ำเติมประเทศที่กำลังเผชิญทั้งวิกฤตเศรษฐกิจเดิม และกำลังจะเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกใหม่ ให้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดด้วยวิกฤตการเมืองจนประเทศชาติและประชาชนจมดิ่งลงไปยิ่งกว่านี้” นายจักรพงษ์กล่าว