“เพื่อไทย” หวั่น ดอกเบี้ยขาขึ้น หนี้เสียพุ่ง บาทแข็ง ฉุดเศรษฐกิจไทยทรุด ชี้ รีดไถนักท่องเที่ยว ดัชนีทุจริต ฝุ่น PM 2.5 ตอกย้ำความล้มเหลว แนะ แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่
นางสาวจุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. เขต สาทร บางรัก กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ขยับขึ้นเป็น 4.50%-4.75% และยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก เพื่อหยุดยั้งอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐที่ยังคงสูงอยู่ที่ 6.5% ในเดือนธันวาคม โดยจะพยายามทำให้เงินเฟ้อลดลงเหลือเพียง 2% ในขณะที่ในประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ก่อนหน้านี้เช่นกัน โดยขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.50% และยังมีแนวโน้มที่จะต้องขึ้นอีกหลายครั้งในปีนี้
อัตราดอกเบี้ยของไทยจะที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้เพราะหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับสูงกว่า 10 ล้านล้านบาท เฉพาะดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 1% รัฐต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มถึงปีละ 1 แสนล้านบาทโดยอาจจะต้องตัดจากงบประมาณแผ่นดิน และเอกชนก็ต้องแบกภาระดอกเบี้ยเพิ่มจากหนี้ครัวเรือนประมาณ 15 ล้านล้านบาท และ หนี้ธุรกิจในธนาคาร รวมไปถึงหนี้เสียและหนี้สงสัยจะเสียจำนวนหลายล้านล้านบาทที่จะต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยสูงขึ้น นอกจากนี้ ดอกเบี้ยของไทยที่จะขึ้นอาจจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทก็แข็งค่าอยู่แล้วอยู่ที่ 32 บาทกว่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกที่ทำท่าจะย่ำแย่ และ อาจจะติดลบในปีนี้ หลังจากที่การส่งออกติดลบติดกันใน 3 เดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว โดยการส่งออกเดือนธันวาคมติดลบถึง – 14.6%
นอกจากปัญหาดอกเบี้ยแล้วปัญหาการรีดไถนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะข่าวที่ตำรวจไทยรีดไถดาราสาวชาวไต้หวันได้กระจายไปทั่วโลกทำความเสื่อมเสียให้ประเทศไทยอย่างมาก หลังจากตำรวจไทยไปให้บริการนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินและมีรถตำรวจนำหน้าพาเที่ยว แถมยังมีโฆษณาในเว็ปท่องเที่ยวของจีนเลย ซึ่งไทยกลายเป็นประเทศตัวตลกของโลกไปแล้ว โดยข่าวการรีดไถนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้ามีขึ้นจำนวนมากและกลายเป็นการบ่อนทำลายการท่องเที่ยวของไทยไปแบบไม่รู้ตัว และอาจจะทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนใจไม่มาไทย เศรษฐกิจก็จะยิ่งย่ำแย่ เพราะการท่องเที่ยวน่าจะเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ หลังจากไม่สามารถจะพึ่งส่งออกได้แล้วในปีนี้ เพราะการส่งออกทำท่าจะติดลบแน่ในปีนี้ แถมรัฐบาลยังจะไปเก็บค่าเหยียบแผ่นดินเพิ่มภาระให้นักท่องเที่ยวอีก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคแทนที่จะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้ามามากๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอันดับการทุจริตของไทยในปีนี้จะดีขึ้นมาอยู่ที่ 101 จาก 180 ประเทศ แต่ในความรู้สึกของประชาชนกลับคิดว่าการทุจริตของไทยเพิ่มขึ้นมาก จากข่าวคราวที่ปรากฎมาตลอด อีกทั้งดัชนีทุจริตไทยยังอยู่อันดับที่แย่กว่าประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก นอกจากปัญหาการทุจริตแล้วปัญหาฝุ่น PM 2.5 ก็ยังเป็นปัญหาของรัฐบาลมาตลอด 8 ปี ที่ไม่ได้มีการแก้ไขเลย และ เลวร้ายขึ้นเรื่อยจน กทม. ติดอันดับ 4 ของโลก ที่ต้องงดให้ประชาชนจัดกิจกรรมกลางแจ้งกันแล้ว
ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้มีแนวทางแก้ไขสภาผู้แทนที่เป็นปากเสียงของประชาชนก็ล่มตลอด เพราะ สส. ย้ายพรรคเพื่อเตรียมพร้อมการเลือกตั้ง หากสภาพเป็นแบบนี้ น่าจะต้องยุบสภาและเลือกตั้งใหม่จะดีกว่า ประชาชนจะได้มีโอกาสเลือกรัฐบาลใหม่ที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้มากกว่า