นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา กฎหมายใหม่ของเขตปกครองพิเศษฮ่องกงกำหนดว่า น้ำมันกัญชา CBD เป็นสารเสพติดต้องห้ามในระดับเดียวกับเฮโรอีน การมีไว้ในครอบครองและการเสพน้ำมันกัญชาดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นปริมาณเท่าใด ต้องจำคุก 7 ปี และปรับเป็นเงิน 1 ล้านฮ่องกง หรือประมาณ 4.5 ล้านบาท การผลิต นำเข้า หรือส่งออก มีโทษจำคุกตลอดชีวิต

จึงขอเตือนคนไทยที่จะเดินทางไปฮ่องกงว่า อย่าเผลอหรือแอบนำน้ำมันกัญชาพกติดตัวไปเป็นอันขาด เพราะอาจถูกจับดำเนินคดี ติดคุกหัวโตได้ง่ายๆ

มีข้อน่าสังเกตุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เผยแพร่ข่าวสารสรรพคุณ น้ำมันกัญชาหรือสารสกัดน้ำมันกัญชาสูตร CBD ใช้ในผู้ป่วยอาการโรคลมชักที่รักษายาก และโรคลมชักที่ดื้อต่อการรักษา กับแจ้งข้อควรระวังไว้หลายประการ มีอยู่ประการหนึ่งระบุว่า สารนี้กดประสาทส่วนกลาง หรือเพิ่มผลกระทบทางจิตประสาท ในขณะที่ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่าให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ แต่ในทางปฏิบัติ นโยบายกัญชาเสรี หน่วยงานรัฐป้องกันหรือควบคุมการใช้ การเสพของผู้คนได้จริงหรือ ผลกระทบในทางร้ายที่จะเกิดขึ้นกับผู้เสพโดยเฉพาะเด็ก เยาวชน ใครรับผิดชอบ

นอกจากนี้ปัจจุบันพบว่า “กัญชาเสรี” ไม่ได้ให้โอกาสใช้ทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังพบการ ขาย การค้า การเสพ และการบริโภคที่ไร้การควบคุม และเจ้าหน้าที่รัฐไร้อำนาจที่จะดำเนินการเพื่อหยุดยั้งการกระทำเหล่านั้น เพราะกฎหมายแม่บทคือ กฎหมายยาเสพติดให้โทษ ปลดล็อค “กัญชา” ออกจากบัญชียาเสพติดแล้ว อีกทั้ง พ.ร.บ.กัญชงกัญชา ยังไม่สามารถผ่านสภาออกมาบังคับใช้ได้ เพราะเหลือเวลาปิดสมัยประชุมอีกเพียงไม่กี่วัน แต่แม้กฎหมายจะสามารถออกบังคับใช้ก็ไม่สามารถควบคุมการเสพย์กัญชาแบบสันทนาการในเด็กได้

“สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไร้ฝีมือ ขนาดกัญชายังแก้ปัญหาไม่ได้ ยังมาเพิ่มปัญหายาบ้าอีกที่ให้ผู้ครอบครองเกิน 2 เม็ด เป็นผู้ค้ายาเสพติด และเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาในวันที่ 7 ก.พ.นี้ เป็นการแก้ปัญหาเเบบลิงแก้แห ขนาดผู้แทนของยูเอ็นยังแสดงความเป็นห่วงเรื่องนี้ โดยให้เหตุผลการเปลี่ยนแปลงจำนวนยาเสพติดที่จัดเป็นผู้ค้า ไม่ใช่ เป็นการยับยั้งการระบาดของยาเสพติด ไม่ได้แก้ที่ต้นทางเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ลดศักดิ์ศรีและการต่อสู้คดี ทำให้ถูกมองว่าจะทำให้มนุษย์คนหนึ่งหมดคุณค่าศักดิ์ศรีเพราะยาบ้า 2 เม็ด หมดโอกาสในการต่อสู้ทางคดีอาญา ทำให้นักโทษล้นคุก เป็นการสร้างปัญหาเก่าก่อปัญหาใหม่หรือไม่ ทบทวนให้ดี ก่อนโยนภาระให้ประชาชน” นางสาวตรีชฎา กล่าวทิ้งท้าย