GDP 67 ดีแล้วภายใต้สถานการณ์และข้อจำกัดที่มีอยู่ ‘จิตติพจน์’ มั่นใจจะดีขึ้นได้อีกหาก ถ้าแบงก์ชาติช่วยเสริมสภาพคล่องเข้าระบบ วอนมองประเทศเป็นภาพเดียวกัน  เห็นประชาชนเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน

นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปี 2567  (GDP)  ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศวานนี้ GDP ไตรมาส 4 ของปี 2567 ขยายตัว 3.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งปี  2567 GDP ขยายตัว 2.5% เพิ่มขึ้น 0.5% จากปีก่อนหน้า  โดยมองว่า GDP ของไทยสามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพมากกว่านี้ หากมาตรการทางการเงิน และมาตรการทางการคลังเดินไปพร้อมกัน   โดยทั้งปี 2567  นโยบายการเงินค่อนข้างเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ  ดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดน้อย และช้ากว่าที่ตลาดต้องการความช่วยเหลือ และไม่ทันเวลา ดอกเบี้ยเงินกู้โดยเฉพาะดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิตที่สูงเกินไปและมากกว่าที่กฎกฎหมายกำหนดไม่ให้เกิน 15% รวมทั้ง ปริมาณเงินที่น้อยเกินไปทำให้สภาพคล่องในระบบไม่เพียงพอ ทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจทำงานได้ไม่เต็มที่ไม่เต็มศักยภาพ

การเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์มีปัญหา เพราะความต้องการของตลาดลดลงจากอัตราดอกเบี้ยสูง การเข้าไม่ถึงสินเชื่อของประชาชนจนทำให้สภาพคล่องในระบบตึงตัว พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ ที่ทำให้ความต้องการถืออสังหาริมทรัพย์ลดลง

ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์อีวีขณะนี้เดินมาถูกทางด้วยนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  หากเพิ่มการส่งเสริมเพื่อปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปภายในไปพร้อมกันจะยิ่งทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในภาพรวมดีขึ้น   รวมถึงภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทของไทยที่แข็งค่ามากเกินไป  ทำให้จากเดิมที่มูลค่าการส่งออกไทยจะมีปริมาณที่สูง ห่างจากมูลค่าการนำเข้ามาก แต่ปัจจุบันมูลค่าส่งออก – นำเข้า อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน โดยการส่งออกสูงกว่าเล็กน้อยและไทยยังได้ดุลการค้า  

นายจิตติพจน์ กล่าวอีกว่า การปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ยังส่งผลต่อ GDP โดยเป้าหมายเงินเฟ้ออยู่ในกรอบ  1-3% เงินเฟ้อจริงอยู่ติดกรอบล่างเกือบ 1% ขณะที่เป้าหมายเงินเฟ้อในต่างประเทศ จะไม่ต่ำกว่า 2%  หากธนาคารแห่งประเทศไทยปรับเป้าเงินเฟ้อให้เหมาะสม อยู่ที่ 2-3% จะช่วยเศรษฐกิจไทยได้มากและเพิ่มการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีกด้วย จะทำให้รัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายการคลังทำงานง่ายขึ้น   GDP ที่เริ่มโตแล้วโตได้อีก

ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ คือ ตัวเลขที่สามารถบ่งบอกได้ถึงกำลังซื้อ ความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน สุขภาพทางธุรกิจของภาคเอกชน และการลงทุนของภาครัฐและเอกชน โดยรวม เชื่อว่าการทำงานอย่างเต็มที่ทุกวิถีทางของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน 

”ทั้งหมดเปรียบเสมือนขับรถคันเดียวกัน เท้าข้างหนึ่งเหยียบคันเร่ง คือ นโยบายการคลัง แต่อีกข้างเหยียบเบรก คือ นโยบายการเงิน   GDP ปี 2567 มาดีแล้ว แต่จะดีกว่านี้  ถ้าฝ่ายนโยบายการเงินมองภาพประเทศเป็นภาพเดียวกันกับรัฐบาล เห็นประชาชนเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน“ นายจิตติพจน์กล่าว