‘ภูมิธรรม’ ประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ เผย บอร์ด DSI มีมติรับ “คดีโพยฮั้วเลือก สว.” เป็นคดีพิเศษ ฐานฟอกเงิน ย้ำ DSI ไม่ทับซ้อนอำนาจ กกต. และจะพิสูจน์จนประชาชนสิ้นสงสัย 

วันนี้ (6 มี.ค. 68) ที่กระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เพื่อพิจารณาว่าจะรับคดีเกี่ยวกับการฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษหรือไม่ หลังจากที่มีผู้ร้องต่อดีเอสไอ เกี่ยวกับการ ฮั้วเลือก สว.ปี 2567 และดีเอสไอสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน

ภายหลังการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) นานกว่า 2 ชั่วโมง ที่ประชุมที่มีภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานบอร์ด และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองประธาน โดย กคพ.ได้มีมติรับพิจารณา ‘คดีฮั้วเลือก สว.2567’ เป็นคดีพิเศษ ในฐานฟอกเงินที่เป็นฐานความผิดในคดีพิเศษตามกฎหมาย การสอบสวนคดีพิเศษฯ 

ภูมิธรรม กล่าวว่า กคพ.เข้าร่วมการประชุมทั้งสิ้น 18 คนจาก 22 คน ซึ่ง 3 คนที่ไม่ได้เข้าร่วมในวันนี้ เป็นตัวแทนจากฝั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยที่ประชุมได้พูดคุยหลากหลายประเด็น และใช้ดุลยพินิจรวมทั้งหลักกฎหมายอย่างครบถ้วน เพราะตระหนักว่า  เป็นคดีที่เกี่ยวกับสถาบันนิติบัญญัติของประเทศ โดยมีข้อสรุปดังนี้

บอร์ด กคพ. ได้พิจารณาบนฐานข้อเท็จจริง กรณีที่มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์กับดีเอสไอว่าเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งในวันนี้ไม่ได้พิจารณาถึงกระบวนการเลือก สว. แต่บอร์ดเห็นว่าการกระทำความผิดที่มีการร้องทุกข์ เป็นลักษณะความผิดฐานฟอกเงินที่เป็นคดีพิเศษตามกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายการได้มาซึ่ง สว.ที่ระบุว่า การใช้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้เลือกผู้สมัครให้เป็นความผิดฐานฟอกเงินด้วย

“ขอย้ำว่าในการพิจารณาคดี มาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากหลากหลายที่ ไม่ใช่การตัดสินใจของคนใดคนหนึ่ง อันสะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายทั้งหมด เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง”

บอร์ดขอย้ำว่าการพิจารณาในวันนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการไปยุ่งเกี่ยวอำนาจหน้าที่ของ กกต. เพราะ กกต.ทำงานในฐานะผู้ดูแลการเลือกตั้ง แต่กรณีนี้เป็นการดูแลเรื่องคดีอาญา เป็นการทำงานคู่ขนานกันเพื่อบังคับใช้กฎหมาย

กรณีดีเอสไอรับเรื่องนี้ไว้ ไม่ได้หมายความว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำผิดตามกฎหมายแล้ว ยังต้องมีกระบวนการอีกมากมายในการระบุว่าผิดจริง ซึ่งรัฐธรรมนูญระบุว่าผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่  เพื่อประโยชน์ของผู้ถูกกล่าวหาและประชาชน ต้องไม่ลืมว่าคดีนี้เป็นคดีมหาชน เราทำคดีนี้เพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง 

ภูมิธรรม กล่าอีกว่า ในที่ประชุมมีองค์ประชุม 18 คน มีมติชี้ขาดกรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคล หรือคณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ที่เกี่ยวกับการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ.2567 เป็นคดีพิเศษ ส่วนคดีอาญาใดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวข้องจะเป็นคดีพิเศษเพื่อสอบสวนต่อไป

“เราพิจาณาและเห็นชอบให้เป็นคดีพิเศษ 11 เสียง ไม่เป็นคดีพิเศษ 4 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง” ทั้งนี้จะมีการตั้งคณะทำงาน 1 ชุด มีตัวแทนจากอัยการด้วย 

ด้าน พ.ต.อ.ทวี กล่าวถึงขั้นตอน หลังจากนี้ว่า การประชุมในวันนี้ได้รับเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ มาตรา 21 วรรค 1 ซึ่งตามปกติแล้ว อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สามารถชี้ขาดได้เลย แต่เนื่องจากมีข้อมูลบางประการที่มีข้อสงสัย ที่ต้องให้คณะกรรมการคดีพิเศษ ใช้เสียงกึ่งหนึ่งของผู้เข้าประชุม ซึ่งเสียงของคณะกรรมการส่วนใหญ่ได้ชี้ขาดแล้วว่าเป็นคดีพิเศษ ซึ่งไม่ต้องใช้ตามมาตรา 21 วรรค 2 โดยขั้นตอนต่อจากนี้ไป จะเป็นเหมือนหลักค้ำประกันให้กับอธิบดี ดีเอสไอ คือการรับเรื่องเป็นคดีพิเศษ และขอให้พนักงานอัยการมาร่วมสอบสวนด้วย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความยุติธรรม รวมถึงให้การปฏิบัติงานมีความโปร่งใส ส่วนขั้นตอนต่อไป เป็นเรื่องที่ดีเอสไอ จะจัดตั้งพนักงานสอบสวน เพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวน

ส่วนคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ กกต. ในชั้นสอบสวน หากมีการเรียก กกต. มา จำเป็นจะต้องเข้ามาให้ข้อมูลหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ในส่วนที่เป็นของ กกต. ที่ผ่านมา กกต.ก็ได้มีการประสานงาน กับ ดีเอสไอ ได้มีการทำหนังสือมา ซึ่งหนังสือฉบับนั้นยังไม่ได้มีการยกเลิก และในการทำงาน เนื่องจากกฎหมายมีการทับซ้อนกัน ก็อาจประสานงานกัน

พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า ข้อหาที่เป็นฐานฟอกเงิน เกิดมาจากฐานอั้งยี่ และมีการอภิปรายในฐานความผิดอาญาอื่น ก็ต้องนำมาประกอบการพิจารณา ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของคณะ กรรมการสอบสวน ซึ่งที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการได้มีความเห็น และเมื่อเห็นว่าความจริงเป็นคดีพิเศษโดยอัตโนมัติแล้ว ในความผิดฐานฟอกเงิน แต่ยังมีความสงสัยในเรื่องรายละเอียด ว่ามูลค่าของทรัพย์สิน เกินกว่า 300 ล้านบาทหรือไม่ ซึ่งดีเอสไอ จะต้องไปดูเส้นทางการเงินและเส้นทางบุคคล ว่ามีตัวเลขเกิน 300 ล้านบาทหรือไม่ จึงต้องให้คณะกรรมการพิเศษเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งคำชี้ขาดนี้ถือเป็นที่ยุติ และการเป็นคดีพิเศษไม่ใช่หมายความว่า จะทำคดีต่างจากที่อื่นแต่จะมีผู้เชี่ยวชาญในการสอบสวน และที่สำคัญคือการทำตามพยานหลักฐาน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

กรณีบางฝ่ายมีความเห็นว่าคดีนี้เป็นหน้าที่ของ กกต. แต่การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรับคดีมา ต้องการดึงเป็นเรื่องทางการเมือง  พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ตอนนี้ กกต.ก็ทำอยู่ในบทบาทของเขา เพราะหนังสือตอบรับของกกต ก็ได้ตอบอย่างชัดเจนแล้ว ว่าความผิดในคดีอาญาอื่นๆ กกต.ไม่มีอำนาจ

ส่วนกรณีที่ สว. ออกมาแสดงความเห็นว่า การเลือกตั้ง สว.มาโดยวิธีสุจริตชอบธรรม ไม่มีความผิดตามที่กล่าวหาดีเอสไอต้องทำเรื่องนี้โดยละเอียดหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดการตั้งข้อสงสัยในสภา พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า สว.มีกระบวนการตรวจสอบได้อยู่แล้วเราก็เคารพท่าน แต่วันนี้คณะกรรมการ ไม่ได้มีเรื่องการเมืองเลย ซึ่งประธานในที่ประชุมก็ได้พูดว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญ กระทบกับความมั่นคง ถ้ามีการครอบงำอำนาจนิติบัญญัติ ก็จะส่งผลกระทบต่อหลายๆ เรื่อง ซึ่งเราก็ทำในความผิดฐานฟอกเงิน ส่วนจะขยายไปเป็นคดีอั้งยี่หรือคดีอื่นๆก็คงจะต้องมีการพิจารณากันอีกครั้ง เรายินดีหากสวจะมาให้การหรือแสดงความบริสุทธิ์ เราก็พร้อมที่จะรับ

ท้ายสุด ภูมิธรรม กล่าวว่า “การทำงานครั้งนี้ด้วยความยากลำบาก และมีผลกระทบต่อหลายส่วน ซึ่งต้องคำนึงถึงหลักข้อเท็จจริง ขณะเดียวกันเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ และกฎหมายได้ถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และยืนยันว่า การพิจารณาในครั้งนี้ไม่ได้อิงอะไร นอกจากความเป็นจริง และกฎหมาย หลังจากนี้เราต้องทำหน้าที่ไต่สวนทำความจริงให้ปรากฏ ส่วนคนที่จะชี้ขาดคือศาล ผมฐานะที่เป็นประธาน กคพ. รับฟังทุกอย่างเต็มที่ และให้ทุกคนพิจารณาด้วยดุลยพินิจอย่างรอบคอบ ก่อนลงมติ และรับรองโดยที่ประชุม”