เฮ! แจกเงินหมื่นเฟส 3 อายุ 16-20 ปี 2.7 ล้านคน กลางปีนี้ วางรากฐานระบบชำระเงินและเศรษฐกิจดิจิทัล เชื่อดันจีดีพีโต 3%
วันที่ 10 มีนาคม 2568 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีรัฐมนตรี พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายกรัฐมนตรีกล่าวก่อนการประชุมว่า ระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น โดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่มาจากการส่งออกและการท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ประมาณการเติบโตตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 3 แต่รัฐบาลเชื่อว่าด้วยศักยภาพของเศรษฐกิจไทย และความตั้งใจในการทำงานของทุกกระทรวงและภาคเอกชนจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้มากกว่าร้อยละ 3 ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อน และการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทำให้เศรษฐกิจแข็งแรงมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการประชุมในวันนี้ เพื่อที่จะร่วมกันคิดหาแนวทางเสนอโครงการต่าง ๆ ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ โดยต้องปฏิบัติภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวมากกว่าร้อยละ 3 และเพื่อวางรากฐานการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างในระยะยาวไปพร้อมกัน ขอให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ
ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจัดหมวดหมู่ของมาตรการทั้งหมด 46 โครงการ ตามเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ 4 ด้าน ประกอบด้วย การบริโภคภาคเอกชน (12 โครงการ) การลงทุนภาคเอกชน (17 โครงการ) การใช้จ่ายภาครัฐ (13 โครงการ) และการส่งออกสินค้าและบริการ (4 โครงการ) ซึ่งเน้นการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว โดยกระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย สำหรับปี 2568 จะขยายตัวได้ที่ ร้อยละ 3 ผ่านการขับเคลื่อนปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งหมดนี้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจัดหมวดหมู่ของมาตรการ ดังกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบหลักการ เงื่อนไข หลักเกณฑ์ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ในระยะที่ 3 และเห็นชอบแนวทางการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการฯ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการจัดทำข้อเสนอโครงการฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวยังเสนอแนะถึงการติดตามตรวจสอบหรือตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ (Fraud Detection) รวมทั้งการสืบสวนสอบสวน เพื่อระงับสิทธิเพิกถอนสิทธิเรียกเงินคืน ตลอดจนดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำผิดหลักเกณฑ์และ เงื่อนไขของโครงการ อยากให้ตั้งคณะกรรมการดูแลเรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญ
ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟส 3 ผ่านการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท สำหรับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี รวมทั้งหมด 2.7 ล้านคน คาดว่า จะจ่ายเงินลงไปถึงมือได้ภายในปลายไตรมาส 2 ปีนี้ หรือต้นไตรมาสที่ 3 ปีนี้
“รัฐบาลเห็นว่าคนกลุ่มนี้มีความเหมาะสม เพราะเป็นกลุ่มที่อยู่วัยเรียน สามารถนำไปใช้จ่ายในสิ่งของที่จำเป็นการการเรียน หรือช่วยเหลือพ่อแม่ได้ ส่วนกลุ่มที่อายุเกิน 20-60 ปี รัฐบาลจะดูความเหมาะสมของช่วงเวลาอีกครั้ง เพราะมีความแตกต่างกัน โดยจะใช้ระบบของดิจิทัลวอลเล็ตไปดำเนินการ” นายพิชัยกล่าว
ส่วนความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐกิจต่อการดำเนินโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 นั้น นายพิชัย ระบุว่า ที่ผ่านมาอาจมีความเห็นที่ไม่เหมือนกันว่ามีความคุ้มค่ามากแค่ไหน จะกระตุ้น GDP ขึ้นมาอย่างไร แต่เชื่อว่าจะช่วยกระจายเงินลงไปในพื้นที่ได้ และช่วยบรรเทาภาวะหนี้ครัวเรือนลงได้ด้วย ซึ่งสองเรื่องนี้จะมีประโยชน์ในเชิงคุ้มค่ามากกว่า
อย่างไรก็ตามนายกฯ ยังมอบหมายให้ติดตามโครงการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการป้องกันความผิดพลาดของโครงการ โดยนำความผิดพลาดจากการดำเนินการในเฟสที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งกระทรวงการคลัง จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมากำกับดูแลต่อไป
ขณะที่ไทม์ไลน์ของโครงการนั้น ขั้นตอนต่อจากนี้ จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็ว ๆ นี้ ก่อนจะเริ่มต้นโครงการเร็วที่สุด คือไตรมาสที่ 2 หรือต้นไตรมาสที่ 3 ปี 2568 โดยดูความเหมาะสมของเงินงบประมาณที่มีอยู่เป็นหลัก
ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า ในการใช้จ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท สำหรับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี ครั้งนี้ รัฐบาลได้ตัดเงื่อนไขเดิมออก 2 ส่วน คือ
1.ตัดรายการสินค้าต้องห้าม หรือ Negative List ออกทั้งหมด เพราะได้ตรวจสอบร้านค้าที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถใช้จ่ายได้สะดวกขึ้น เช่น ซื้อสินค้าร้านโชห่วย หรือร้านที่มีสินค้าหลายประเภท หรือใช้จ่ายค่าเทอมได้
2.เปิดให้ร้านค้าทุกประเภทสามารถถอนเงินสดออกมาได้อีกด้วย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับร้านค้า
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า ในการใช้เงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 ครั้งนี้ รัฐบาลจะพิจารณาให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดยกันเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเอาไว้ 1.5 แสนล้านบาท ในปี 2568 ซึ่งเชื่อว่า มีกระสุนเพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจ่ายเงินให้กลุ่มนี้ก่อนนั้น ถือว่ามีความสามารถในการใช้จ่ายในช่วงเวลานี้ ส่วนกลุ่มอื่นจะดูตามความเหมาะสมต่อไป
#พรรคเพื่อไทย #เงินดิจิทัลเฟส3

บทความที่เกี่ยวข้อง
