‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ ย้ำรัฐบาลดำเนินการ (เรื่องอุยกูร์) ไปตามหลักการ ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้เลือกข้างใด แต่เป็นการเลือกประเทศไทยให้ยืนอยู่ได้ และไม่เกิดปัญหาตกค้าง
.
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในที่ประชุมสภาฯ เกี่ยวกับประเด็นการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน ว่า การกล่าวอ้างของท่านสมาชิกสภาฯ ในประเด็นเรื่องชาวอุยกูร์ อาจเป็นการพูดเพราะไร้ประสบการณ์ ไม่เคยบริหารประเทศ จึงพูดหลายเรื่องโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและความมั่นคงของชาติ ใช้แต่จินตนาการนำสิ่งเหล่านี้มาวิพากษ์วิจารณ์
.
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ปัญหาชาวอุยกูร์เป็นปัญหาที่ตกค้างมานาน ซึ่งชาวอุยกูร์มีความผิดเรื่องเข้าประเทศผิดกฎหมาย โทษอย่างสูง 2 ปี แต่ที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาได้จึงต้องคุมขังมาถึง 11 ปี
.
ทั้งนี้ เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่ได้ยินบางคำพูดจากคนรุ่นใหม่ว่า ให้คุมขังพวกเขาเหล่านี้เพื่อใช้ต่อรองกับมหาอำนาจ จึงขอย้ำว่าอย่ามองคนอื่นเป็นสินค้า แต่ขอให้มองถึงความเป็นมนุษย์
.
สำหรับการแก้ปัญหาชาวอุยกูร์มีให้เลือก 3 ทาง
.
ทางที่ 1 คือ คุมขังต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
.
ทางที่ 2 คือการส่งไปประเทศที่ 3 ซึ่งปรากฏว่าไม่มีเอกสารหลักฐานหรือหนังสืออย่างเป็นทางการจากประเทศใดที่จะขอรับชาวอุยกูร์ หรือให้สิทธิผู้ลี้ภัย แม้แต่องค์กรระหว่างประเทศก็ไม่ใยดี ดังนั้นเรื่องประเทศที่ 3 จึงเป็นความเพ้อฝันของคนบางคน
.
ทางที่ 3 ส่งไปประเทศที่เป็นเจ้าของ ซึ่งการที่นายกัณวีร์ระบุว่าไม่ใช่ชาวจีน หรือมีหลักฐานว่าเป็นชาวตุรกีนั้น ถือเป็นเรื่องโกหก เพราะมีหลักฐานว่าทั้ง 40 คนเป็นคนจีนและมีหลักฐานแน่นอนว่าทั้ง 40 คนสมัครใจกลับจีน
.
นายภูมิธรรม ย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีความสบายใจนัก ซึ่งเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ มาพูดคุยและได้แสดงความห่วงใย แต่หลังจากที่ได้ชี้แจงแล้ว แต่ละประเทศเข้าใจและยืนอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่อยู่กับความเพ้อฝัน พร้อมย้ำว่าจีนมีข้อตกลงกันในแง่สิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการออกจดหมายรับรองอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นจดหมายสำคัญระดับประเทศ และนายกรัฐมนตรีได้ไปพบกับผู้นำระดับสูงของจีน ซึ่งทางจีนยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างดีที่สุด
.
หลักการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน อยู่ภายใต้พันธกรณี 5 ด้าน คือ คำนึงถึงอธิปไตยของไทย, ดำเนินการภายใต้กฎหมาย, คำนึงถึงความสัมพันธ์และความมั่นคงของชาติ, คำนึงถึงหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการไม่ส่งคนไปยังที่อันตราย เผชิญกับความทรมาน หรือทำให้เกิดสูญหาย และเป็นการพิจารณาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยความรอบคอบ
.
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการไปตามหลักการและยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้เลือกข้างใด แต่เป็นการเลือกประเทศไทยให้ยืนอยู่ได้และไม่เกิดปัญหาตกค้าง รวมทั้งพยายามให้มหาอำนาจอดทนอดกลั้น แก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี พร้อมย้ำว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องใช้เวลาการพูดคุยกันหลายฝ่าย เพื่อให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากความขัดแย้งเหล่านี้ และจากเสียงสะท้อนในสังคมออนไลน์ก็สนับสนุนแนวทางของรัฐบาล
.
“วันนี้เราอยู่ในเวทีรัฐสภา ในเวทีสภาผู้แทนราษฎร พี่น้องประชาชนดูอยู่ ผมกล้าพูดทั้งอย่างนี้ทั้งหมดเนี่ย คือผมไม่กลัวความจริงครับ เพราะว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงทั้งหมด ผมไม่อยากให้ท่านเอาจินตนาการมาแทนความจริง แล้วก็โวยวาย มันไม่สง่างาม ท่านประกาศตัวเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผมอยากเห็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผมมานี่ผิดหวังนะครับ ที่ผมบอกไปแล้วเนี่ย ผมผิด หวังจริง ๆ ผมก็เคยเคารพพวกท่านในฐานะผู้ที่หวังดีต่อประเทศชาติ แต่ผมเห็นอาการที่ ท่านคิดแต่เรื่องเกมที่จะเอาชนะ ท่านไม่รับฟังเหตุผลของคนอื่น ท่านคิดว่าท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ ความถูกต้องแต่เพียงผู้เดียว เรื่องอุยกูร์นี่ท่านพลาดครับ พลาดจริง ๆ พลาดเพราะท่านไม่ยอมรับความเป็นจริง เพราะท่านไม่ไปหาความเป็นจริง พลาดเพราะท่านเอาจินตนาการไปเที่ยวชี้นิ้วด่าคนอื่น ผมอยากให้ท่านเก็บเป็นบทเรียน เราไม่ว่ากัน ผิดพลาดไปแล้ว เก็บเป็นบทเรียนนะครับ” รองนายกฯ กล่าว
.
#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #อุยกูร์
ขอขอบคุณ ThaiPBS : https://www.thaipbs.or.th/news/content/350518

บทความที่เกี่ยวข้อง
