จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนมายังประเทศไทยทั่วภูมิภาค ทำให้อาคารบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย สถาบันการเงินรัฐต่างๆ ได้ออกมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหว
โดยมีรายละเอียดของมาตรการดั้งนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 29 มีนาคม 2568)
.
1. ธนาคารออมสิน
1.1 มาตรการแบ่งเบาภาระลูกหนี้ปัจจุบัน สำหรับสินเชื่อบ้าน สินเชื่อธนาคารประชาชน และสินเชื่อ SMEs โดยพักชำระเงินต้นทั้งหมด และลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0 สูงสุดเป็นระยะเวลา 3 เดือน
1.2 มาตรการสินเชื่อเพื่อกู้ซ่อมแซมบ้าน กู้ฟื้นฟูกิจการ สำหรับลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่
– สินเชื่อฉุกเฉิน วงเงินกู้สูงสุด 20,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 สูงสุดเป็นระยะเวลา 3 เดือน
– สินเชื่อกู้ซ่อมแซมบ้าน และสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 สูงสุดเป็นระยะเวลา 3 เดือน
.
2. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
2.1 โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 2568 เพื่อเสริมสภาพคล่องเกษตรกร
ในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท ตามอัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR ของ ธ.ก.ส. เท่ากับร้อยละ 6.925 ต่อปี) ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก
2.2 โครงการสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นค่าลงทุนในการซ่อมแซมบ้านเรือนทรัพย์สิน
ค่าซ่อมเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย วงเงินต่อรายไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR – 2 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 15 ปี
.
3. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
3.1 โครงการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย จำนวน 2 มาตรการ
ประกอบด้วย
3.1.1 กรณีลูกค้าปัจจุบัน ได้รับการลดเงินงวดและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยจะพักชำระหนี้ใน 3 เดือนแรก พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหลือร้อยละ 0 ต่อปี และเดือนที่ 4 – 12 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.00 ต่อปี พร้อมลดเงินงวดลงร้อยละ 50 ของเงินงวดที่ชำระในปัจจุบัน
3.1.2 กรณีลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ สามารถขอกู้ใหม่หรือกู้เพิ่มเพื่อซ่อมแซมหรือปลูกสร้างทดแทนหลังเดิม วงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 1 – 3 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี พร้อมปลอดชำระเงินงวด เดือนที่ 4 – 24 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.00 ต่อปี
.
3.2 มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ปี 2568
3.2.1 มาตรการประนอมหนี้ สำหรับลูกค้าที่ค้างชำระเงินงวดติดต่อกันมากกว่า 3 เดือน หรือมีสถานะ
อยู่ระหว่างประนอมหนี้ ในกรณีหลักประกันเสียหาย 2) กรณีได้รับผลกระทบต่อรายได้ 3) กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร และ 4) กรณีหลักประกันได้รับความเสียหายทั้งหลังไม่สามารถซ่อมแซมได้
ทั้งนี้ ลูกค้าที่มีสถานะหนี้ปกติสามารถเข้าร่วมมาตรการที่ 3) และ 4) ได้โดยจะพิจารณาเป็นรายกรณี
3.2.2 มาตรการสินไหมเร่งด่วน สำหรับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัย กรณีทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย
ซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ จะได้รับค่าสินไหมเร่งด่วนกรณีพิเศษทั้งนี้ เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ ธอส. กำหนด โดยสามารถยื่นคำขอเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
.
4. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
4.1 มาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อม สำหรับเงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลาพักชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน และกลุ่มสัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนประเภทตั๋วสัญญาใช้เงินและสินเชื่อแฟคตอริ่ง ขยายระยะเวลาชำระตั๋วสัญญาใช้เงินออกไปสูงสุด 180 วัน และสามารถพักชำระดอกเบี้ยได้
4.2 มาตรการเติมทุนฉุกเฉิน เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูกิจการ ให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยให้สินเชื่อวงเงินกู้ร้อยละ 10 ของวงเงินเดิม สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทคิดอัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 7.3 ต่อปี) ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้น 12 เดือน ไม่มีหลักประกัน และยกเว้นค่าธรรมเนียม ทั้งนี้ สามารถยื่นคำขอเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป
.
5. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.)
5.1 มาตรการไอแบงก์ไม่ทิ้งกัน
ลูกค้าเดิม : พักชำระเงินต้นและกำไรสูงสุด 6 เดือน
ลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ : สามารถขอสินเชื่อ เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรือฟื้นฟูกิจการ วงเงินสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท อัตรากำไรต่ำสุดร้อยละ 1.99 ในปีแรก และระยะเวลากู้ยืมไม่เกิน 20 ปี
.
6. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM)
6.1 มาตรการช่วยเหลือเงินกู้ระยะสั้น ขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงินสูงสุด 180 วัน เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราวสูงสุดร้อยละ 20 ของวงเงินหมุนเวียนเดิม วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 2 ล้านบาท และเปลี่ยนแปลงภาระหนี้ระยะสั้นเป็นภาระหนี้ระยะยาวผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 3 ปี
6.2 มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะยาว ขยายระยะเวลาเงินกู้สูงสุด 7 ปี ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ปีแรกลงร้อยละ 0.50 หรือจ่ายดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 50 ในช่วง 6 เดือนแรก และพักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 1 ปี รวมทั้งเพิ่มวงเงินสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 6.25
.
7. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน 2 มาตรการ ได้แก่
7.1 มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียม สำหรับลูกค้า บสย. ที่ถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียม
การค้ำประกันสินเชื่อและค่าจัดการค้ำประกันตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568
สามารถพักชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อและค่าจัดการค้ำประกันสินเชื่อเป็นระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันถึงกำหนดชำระ
7.2 มาตรการพักชำระค่างวด สำหรับลูกหนี้ ที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระตามแผนปรับโครงสร้างหนี้
และไม่ผิดนัดชำระหนี้ โดยสามารถพักชำระค่างวดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ระยะเวลายื่นขอพักชำระหนี้
ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568
.
8. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
8.1 มาตรการแบ่งเบาภาระลูกค้าสินเชื่อปัจจุบัน ลดค่างวดร้อยละ 75 ของค่างวดปัจจุบัน (ชำระเพียง
ร้อยละ 25) เป็นระยะเวลา 1 ปี โดย
1) ลูกหนี้บ้านและ SMEs คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี เป็นระยะเวลา 33 เดือน
และ 2) ลูกหนี้บุคคล คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี
8.2 มาตรการสินเชื่อเพื่อกู้ ซ่อมบ้าน/กู้ ฟื้นฟูกิจการ
1) ลูกค้าบ้าน และ SMEs คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0 เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้น คิดดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี เป็นระยะเวลา 33 เดือน
และ 2) ลูกค้าบุคคล คิดดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี
ขอบคุณภาพประกอบจาก จส.100
#พรรคเพื่อไทย #แผ่นดินไหว #มาตรการช่วยเหลือ

บทความที่เกี่ยวข้อง
