แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย 8 เมษายน 2557

           ตามที่นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ ได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2556 จนได้แถลงเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2557 ว่า จะทำการยึดอำนาจประเทศไทย เพื่อเอาอำนาจอธิปไตยมาเป็นของประชาชน และประกาศตั้งตนเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และจะออกคำสั่งเพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมาย ทำนองเดียวกับคำสั่งหัวหน้าคณะปฏิวัติเพื่อดำเนินการกับฝ่ายตรงข้าม และจะเสนอทูลเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี โดยตนเองจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี นั้น

           พรรคเพื่อไทยขอเรียนต่อพี่น้องประชาชนว่า  คำว่า “รัฏฐาธิปัตย์” นั้น  ในความหมายที่เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป  และในทางกฎหมายก็คือ “ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน” ซึ่งตามรัฐธรรมนูญและประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยแล้ว  หมายถึง “ปวงชนชาวไทยและพระมหากษัตริย์”  ดังที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคแรก บัญญัติว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”

           การประกาศของนายสุเทพดังกล่าว  ถือได้ว่ากระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ดังนี้

           1.เป็นการทรยศต่ออำนาจของปวงชนชาวไทยและพระมหากษัตริย์  ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 เพราะนายสุเทพไม่ใช่รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือศาล แต่เป็นกบฏ  ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และ 116

           2.เป็นการทรยศต่อระบอบประชาธิปไตย  ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 2  ที่บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ”  การกระทำและการประกาศของนายสุทเพ จึงเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 และมาตร 6 ที่บัญญัติว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ”

           3.เป็นการล่วงละเมิดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 8 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้”  และเพราะเหตุนี้  รัฐธรรมนูญ มาตรา 195 จึงบัญญัติว่า “บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญนี้”  ดังนั้น ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ  จึงได้แก่รัฐมนตรี หรือบุคคลอื่นที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เท่านั้น การกำหนดตัวเองของนายสุเทพเป็นรัฏฐาธิปัตย์ จึงเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญ และล่วงละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง ซึ่งเป็นความผิดทางกฎหมายอีกกระทงหนึ่ง

           4.ปวงชนชาวไทยมีสิทธิและหน้าที่ที่จะต่อต้านและพิทักษ์รักษาระบอบประชาธิปไตยและอำนาจของปวงชนชาวไทยและพระมหากษัตริย์  ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 69 ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใด ๆที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้”  และมาตรา 70 ที่บัญญัติว่า “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้”

           สรุปก็คือประชาชนที่รักประชาธิปไตยทั้งหลายมีหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตย และมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีต่อการกระทำใดๆของนายสุเทพ

           พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการในทุกวิถีทางตามกรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคน หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงาน ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 69 มาตรา 70 และมาตราอื่นๆ ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อต่อต้านและดำเนินคดีต่อนายสุเทพและพวกอย่างเข้มแข็ง จริงจัง อย่าได้ร่วมมือและกลายเป็นเครื่องมือของนายสุเทพและพวก รวมทั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนองค์กรอิสระต่างๆ อย่าได้ร่วมมือ ส่งเสริม หรือสมคบคิดกับนายสุเทพและพวกเป็นอันขาด เพราะจะเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

           พรรคเพื่อไทยเห็นว่าทางออกของประเทศเพื่อให้การใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์เป็นไปโดยถูกต้องตามรัฐธรรมนูญก็คือการเลือกตั้ง ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยที่ 9/2549 วันที่ 8 พฤษภาคม 2549 จึงขอเรียกร้องให้ กกต. และรัฐบาล รีบตราพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่โดยด่วน

พรรคเพื่อไทย

8 เมษายน 2557