แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย 15 พฤษภาคม 2557
พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์เรื่องขอคัดค้านแนวทางการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีนอกรัฐธรรมนูญระบุว่า ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ได้ประกาศและทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง และประธานวุฒิสภา เพื่อให้ประชุมร่วมกันหาแนวทางที่จะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภาได้ขานรับข้อเสนอของนายสุเทพฯ และได้เรียกประชุมวุฒิสภาเป็นการด่วนต่อเนื่องกันตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา และยังได้เชิญตัวแทนรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมหารือด้วย นั้น
พรรคเพื่อไทยขอแถลงการณ์มายังพี่น้องประชาชนทั้งประเทศดังนี้
1. พรรคเห็นว่าการดำเนินการของนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ในการเรียกประชุมวุฒิสภา นั้น ไม่ อาจกระทำได้ แม้นายสุรชัยฯจะอ้างว่าเป็นการประชุมนอกรอบก็ตาม เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 132บัญญัติว่าในระหว่างอายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง หรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ จะมีการประชุมวุฒิสภามิได้ เว้นแต่กรณีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 132 (1) (2)และ (3) ดังนั้น นายสุรชัยฯจะอาศัยผล การประชุมเพื่อดำเนินการใด ๆมิได้
2. รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ชัดเจนถึงอำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา เรื่องใดที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภา ก็จะมีบัญญัติไว้โดยชัดเจนเช่นกัน กรณีการให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 171 และมาตรา 172 บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ ของสภาผู้แทนราษฎร โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้วุฒิสภาทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎร และไม่ได้ให้อำนาจประธานวุฒิสภาทำหน้าที่แทนประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ วุฒิสภาจึงไม่มีอำนาจพิจารณาในเรื่องดังกล่าว
3. ในกรณีที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญได้กำหนดขั้นตอนไว้ชัดเจนถึงการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี และขณะเดียวกันก็ได้บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งว่าต้อง อยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ารับหน้าที่นั้น ก็ต้องมีที่มาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเช่นกัน กล่าวคือ นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร หลังจากที่ได้รับ โปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีก็เสนอแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อทรงมีพระบรมราช-โองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งต่อไป ดังนั้น จึงไม่มีช่องทางใดเลยที่จะมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในระหว่างที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
4. ปัญหาวิกฤติของประเทศในขณะนี้ เกิดจากกระบวนการขัดขวางการเลือกตั้งของ กปปส.และผู้เกี่ยวข้อง การไม่ยอมรับในกฎเกณฑ์ กติกาของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยอ้างการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งบังหน้า ทั้งที่ข้อเท็จจริงหากไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะทำหน้าที่แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปแล้ว การปฏิรูปก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้น หากทุกฝ่ายช่วยกันผลักดันให้เกิดการเลือกตั้ง เพื่อจะนำไปสู่การได้มาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลชุดใหม่ ปัญหาต่าง ๆก็จะไม่เกิดขึ้น
5. การกระทำการใด ๆของวุฒิสภาเพื่อให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น เป็นการดำเนินการ ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและผิดกฎหมาย เพราะขณะนี้มีรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ในระหว่าง ยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีตามปกติ เว้นแต่มีข้อจำกัดตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 (1) ถึง (4) เท่านั้น การที่คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งให้นายนิวัฒน์ ธำรงค์ บุญทรงไพศาล ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เป็นการดำนินการโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี ดังนั้น จะอ้างว่านายนิวัฒน์ธำรงฯไม่มีอำนาจทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีเพื่อหาทางแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้นย่อมไม่อาจทำได้โดยเด็ดขาด
6. แม้จะมีการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและกฎหมายจนได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามความต้องการของนายสุเทพฯ กับพวก ก็ไม่อาจดำเนินการปฏิรูปประเทศได้ เพราะการปฏิรูปประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยกระบวนการทางรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การตรากฎหมายและแก้ไขกฎหมาย เมื่อไม่มีสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่อาจดำเนินการดังกล่าวได้ และการปฏิรูประเทศก็ต้องได้รับการยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย เมื่อกระบวนการได้มาของนายกรัฐมนตรีไม่ถูกต้องและถูกต่อต้านตั้งแต่แรก ก็ไม่มีหนทางที่จะดำเนินการปฏิรูปประเทศได้ พรรคจึงเห็นว่าข้ออ้างเรื่องการปฏิรูปนั้นเป็นเพียงฉากหน้าให้ดูดีเท่านั้น แต่เบื้องหลังคือการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง โดยไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งเท่านั้น
7. เมื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก ถูกกล่าวหาและถูกออกหมายจับในข้อหากบฏ ซึ่งพนักงานอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้อง และขณะนี้ศาลได้อนุมัติออกหมายจับเพื่อนำตัวส่งฟ้องต่อศาลแล้ว การที่ นายสุรชัยฯได้ให้ความช่วยเหลือสนับสนุน อำนวยความสะดวกให้กับนายสุเทพฯเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมายของนายสุเทพฯ คือ การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ย่อมมีผลเท่ากับนายสุรชัยฯกระทำการล้มล้างรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจฝ่ายบริหาร หรือเพื่อให้ใช้อำนาจดังกล่าวมิได้ อันเข้าข่ายเป็นผู้กระทำความผิดฐานเป็นกบฏเสียเอง หรือสนับสนุนให้นายสุเทพฯกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ
8. เมื่อความพยายามในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ถือเป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา68 หากยังคงดำเนินการต่อไป ย่อมเป็นสิทธิของประชาชนที่จะออกมาต่อต้านการกระทำดังกล่าวได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 69 เมื่อถึงเวลานั้น หากเกิดอะไรขึ้นนายสุรชัยฯและสมาชิกวุฒิสภาจะต้องร่วมกันรับผิดชอบกับการกระทำดังกล่าว และนายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งขึ้นใหม่โดยผิดกฎหมายนั้น ก็จะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชน ไม่มีทางที่จะบริหารราชการแผ่นดินได้ ปัญหาก็อาจจะรุกลามบานปลาย กลายเป็นสงครามกลางเมืองได้ พรรคจึงขอเรียกร้องให้นายสุรชัยฯ และสมาชิกวุฒิสภายุติการดำเนินการใด ๆ ที่ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของตน และโดยวิธีการที่ผิดรัฐธรรมนูญ
9. พรรคเห็นว่าการที่นายสุรชัยฯได้เชิญองค์กรและบุคคลต่าง ๆ เข้าร่วมหารือโดยอ้างว่าเพื่อหาทางออกของประเทศนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงการกระทำเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองที่จะดำเนินการตามแนวทางของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะทางออกของประเทศนั้น มีอยู่เสมอหากทุกฝ่ายปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย จะอ้างเอาการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายเพื่อเป็นทางออกของประเทศนั้น จะเป็นการสร้างปัญหาที่ใหญ่หลวงให้กับประเทศมากกว่าที่จะแก้ปัญหา พรรคจึงไม่อาจ เข้าร่วมหารือกับนายสุรชัยฯได้ หากนายสุรชัยฯจะดำเนินการอะไรไปก็ต้องรับผิดชอบเอาเอง
10. เมื่อการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่อาจกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย การจะอาศัยมาตรา 7หรือมาตราอื่นใดในรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการดังกล่าวก็ย่อมไม่อาจทำได้เช่นกัน และจะใช้กระบวนการกดดันเพื่อบีบบังคับให้คณะรัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ลาออกเพื่อให้เกิดสุญญากาศนั้น ก็ไม่อาจทำได้ เพราะคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งมาโดยถูกต้องตามรัฐธรรมนูญจะเข้ารับหน้าที่
11. การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 7นั้น พระบาทสมเด็จพระ-เจ้าอยู่หัวฯได้เคยทรงมีพระราชดำรัสไว้แล้วว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย และเป็นการมั่ว การที่นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัยจะนำเรื่องที่ผิดรัฐธรรมนูญไปเสนอทูลเกล้าฯ จึงเป็นเรื่องที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง อันจะทำให้เป็นที่ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาท
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงขอเรียกร้องให้นายสุรชัยฯและสมาชิกวุฒิสภายุติการดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย อันมีผลเป็นการสนับสนุนข้อเรียกร้องและให้ความช่วยเหลือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกโดยทันที ปล่อยให้กระบวนการต่าง ๆ ดำเนินการไปภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เกิดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว
http://www.bangkokbiznews.com