“กิตติรัตน์” อัดส่งเรื่องคลังฟ้องแพ่ง “ยิ่งลักษณ์” ทำซ้ำซ้อน-ไม่เป็นธรรม สร้างความหนักใจให้กระทรวงการคลัง

         นายกิตติรัตน์ ณ
ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
เรื่อง แด่ ป.ป.ช. ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่จีน… “โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์
มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสุทธิเป็นบวก… จะให้ทวงค่าเสียหายจากใคร” ว่า “ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ป.ป.ช.
มีมติส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังเรียกค่าเสียหาย จากท่านอดีตนายกรัฐมนตรี
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีโครงการรับจำนำข้าวนั้น ผมเห็นว่าเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง
ที่ปฏิบัติต่ออดีตนายกรัฐมนตรีอย่างซ้ำซ้อนและ ไม่เป็นธรรม สร้างความหนักใจ
ให้กับส่วนราชการ คือกระทรวงการคลัง เพราะถ้าไม่ดำเนินการ ก็มีความเสี่ยงที่
จะกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาจาก ป.ป.ช.ว่าละเว้นปฏิบัติ แต่หากจะดำเนินการใดๆ ต่อไปก็
ย่อมขัดต่อหลักเหตุผล ในแนวคิดเรื่อง “ผลประโยชน์
และความเสียหาย” เพราะโครงการรับจำนำข้าวเปลือก
ที่ได้ดำเนินการในช่วงรัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เป็นโครงการที่มี
ผลประโยชน์สุทธิทางเศรษฐกิจเป็นบวก

          นายกิตติรัตน์ ระบุอีกว่า
“ผมได้ชี้แจงแก่ ป.ป.ช. ตั้งแต่ชั้นไต่สวนพยานแล้ว ว่าสำนักเศรษฐกิจมหภาค
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ได้คำนวณ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลในปี 2554/55 และปี 2555/56 ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ประเทศเป็นมูลค่าถึง
308,000 ล้านบาท และ 315,000 ล้านบาท
หรือเทียบเท่ากับ จีดีพี ร้อยละ 2.7 และร้อยละ 2.8 ของประเทศในปี 2555 และ 2556 ซึ่งสูงกว่า “ตัวเลขค่าใช้จ่ายสุทธิทางบัญชี” ที่กำลังดำเนินการปิดบัญชีกันอยู่ เป็นจำนวนมาก
พวกผมไม่ใช่พวกที่บริหารเศรษฐกิจของประเทศแบบเช้าชามเย็นชาม เศรษฐกิจจะโต
หรือไม่โตก็แล้วแต่ยถากรรม เวลาเศรษฐกิจไม่โตต่างหากที่เรียกว่าเป็นความเสียหาย
ทุกๆ ร้อยละหนึ่งของ จีดีพี ที่ต่ำไปจากที่ควรเป็น หมายถึงความเสียหายประมาณ 120,000 ล้านบาทต่อปี เช่นในปี 2557 ที่ผ่านมา ที่เศรษฐกิจ โตเพียงร้อยละ 0.7 ในขณะที่ทุกๆ
ประเทศในอาเซียน โตเอาโตเอา นี่แหล่ะความเสียหาย
จะให้เรียกค่าเสียหายจากใครก็เชิญคิดกันเอาเอง”

         “ปิดบัญชีฯ
โครงการก็ยังทำกันไม่ถูกต้องเรียบร้อย ถอดถอนท่าน อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์
ก็ทำกันอย่างรวบรัดเร่งรีบ ยอมรับกันเองในมติในชั้นกล่าวหาว่าไม่พบว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำการทุจริต
หรือมีส่วนรู้เห็น แต่ตอนไปแถลงคดี ก็ใช้วาทกรรมว่า ส่อนั่น ส่อนี่
นี่ยังจะส่งเรื่องให้ส่วนราชการ
ดำเนินการทางแพ่งต่อทั้งที่รู้แก่ใจว่าเป็นโครงการที่ก่อให้เกิด
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจสุทธิเป็นบวก มิน่าล่ะคนทั้งสังคมเขาถึงรู้สึกว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง
นี่ยังไม่นับเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่เคยถูกดำเนินการอะไรอย่างจริงจังสักเรื่องเดียว
ทั้งที่สังคมเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีการทุจริตประพฤติมิชอบ ความยุติธรรมอยู่ไหน..” นายกิตติรัตน์ ระบุ 

ที่มา มติชนออนไลน์ :http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424249694