‘ประเมิน 2 ปีหลังการรัฐประหาร’ จาตุรนต์ ฉายแสง

วันนี้ (25 พ.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี
แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก เผยแพร่บทความ ประเมิน 2
ปีหลังการรัฐประหาร มีรายละเอียดดังนี้

บทความนี้ไม่ใช่บทรำลึกวันครบ
รอบ 2 ปีของการรัฐประหาร มีหลายฝ่ายประเมินว่าการรัฐประหารผ่านมา 2 ปีแล้ว
มีผลอย่างไรบ้าง
ประกอบกับช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง
การเสนอบทความนี้จึงอาจเป็นประโยชน์สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งเป็น
สิ่งจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน

1.การปฏิรูป : ข้ออ้างที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

“ปฏิรูป
ก่อนเลือกตั้ง” เป็นข้ออ้างในการล้มรัฐบาลและล้มระบอบประชาธิปไตย
แต่สองปีที่ผ่านมาไม่ปรากฏว่ามีการปฏิรูปใดๆเกิดขึ้น คสช.และแม่น้ำอีก 4
สายไม่สามารถยืนยันว่ามีการปฏิรูปในเรื่องใดเลยแม้แต่เรื่องเดียว
อย่างมากก็แค่มีการพูดถึงการแก้กฎหมายหรือออกกฎหมายจำนวนมากที่ไม่อาจแสดง
ได้ว่าเป็นการปฏิรูป

ผู้ที่ยืนยันว่าไม่มีการปฏิรูปได้ดีที่สุดส่วน
หนึ่ง ก็คือ
นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวที่เคยร่วมมือหรือสนับสนุนให้มีการรัฐประหารเอง
ที่ออกมาวิจารณ์ถี่ขึ้นว่าผิดหวังที่ไม่มีการปฏิรูป
ซึ่งก็นับว่าดีแล้วที่ไม่มีการปฏิรูปในความหมายนี้

ในมุมมองของผู้รัก
ประชาธิปไตยและความเจริญก้าวหน้า การปฏิรูปก็ไม่เกิดขึ้น
สาเหตุมาจากการขาดวิสัยทัศน์และทิศทางของผู้นำและกระบวนการทำงานที่ไม่รับ
ฟังความคิดเห็นของฝ่ายต่างๆ
ทำกันอยู่แต่ในกลุ่มคนที่จำกัดซึ่งมักมีความเห็นที่แตกต่างกันเองอีกด้วย
เช่น การปฏิรูปพลังงาน การปฏิรูปตำรวจ เป็นต้น
การดำเนินงานจึงอยู่ในสภาพสะเปะสะปะ ขัดแย้งกันเองและถูกแขวนไว้
บางเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงบ้างก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการปฏิรูป
เนื่องจากเป็นไปในทางถอยหลังและสร้างความเสียหาย เช่น
การกระจายอำนาจและการปรับระบบทางด้านการศึกษา เป็นต้น

ไม่มีวี่แววว่าจะมีการปฏิรูปใดๆเกิดขึ้น แต่การปฏิรูปก็ยังเป็นข้ออ้างที่จะต้องทำกันต่อไปอีก 20 ปี

2.การแก้ปัญหาคอรัปชั่น : ยิ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ยิ่งป้องกันคอรัปชั่นยาก

การ
จัดการกับปัญหาคอรัปชั่นเป็นข้ออ้างของการรัฐประหารทุกครั้ง
แต่ระบบกลไกสำหรับการจัดการกับปัญหาคอรัปชั่น
นอกจากไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น กลับถูกทำให้ขาดความโปร่งใส
ไม่เป็นกลางและตรวจสอบไม่ได้ การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม
ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้ทั่วโลกถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญในการป้องกันปราบปราม
การคอรัปชั่น

ปัญหาทั้งหมดเริ่มต้นจากการที่คสช.มีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่
เหนือองค์กรอื่นใดทั้งหมด
การนำเอาองค์กรที่เคยเรียกว่าองค์กรอิสระเข้าไปสั่งการก็ดี
อยู่เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการของรัฐบาลก็ดี
หรือการสรรหาแต่งตั้งกรรมการองค์กรเหล่านั้นโดยมีคนของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยว
ข้องก็ดี
ล้วนทำให้องค์กรเหล่านั้นสิ้นสภาพการเป็นองค์กรอิสระและขาดความเป็นกลาง

การ
มีมาตรา 44 และการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จตามมาตรา 44 ในเรื่องต่างๆ
รวมทั้งการออกคำสั่งต่างๆที่ขัดต่อหลักนิติธรรม
ทำให้ไม่มีหลักประกันว่าจะเกิดความยุติธรรม
ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนไม่น้อยถูกลงโทษไปโดยไม่ได้รับโอกาสให้
ชี้แจงหรืออุทธรณ์ร้องขอความเป็นธรรม
ในขณะที่ผู้ที่ถูกตั้งสงสัยว่าทุจริตคอรัปชั่นกลับได้รับการปกป้อง
ผู้ที่พยายามตรวจสอบการคอรัปชั่นกลับถูกขัดขวางและถูกดำเนินคดีในศาลทหาร
หรือถูกเรียกไปปรับทัศนคติ ระบบการบริหารราชการจึงเป็นไปโดยขาดการตรวจสอบ
ถ่วงดุล

3.การทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย : ไม่สงบจริง ไม่ยั่งยืนและค่าใช้จ่ายแพง

การ
ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนพอใจมากที่สุด
แต่ความสงบที่เกิดขึ้นเกิดไม่ได้เกิดจากการทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย
หากเกิดจากการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จที่คำพูดกลายเป็นกฎหมาย
ปิดกั้นการแสดงความเห็นที่แตกต่าง
การร้องเรียนปัญหาความเดือดร้อนกระทำไม่ได้
ความสงบที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นความสงบราบคาบที่รอวันปะทุ
ไม่ใช่ความสงบที่ยั่งยืน
เนื่องจากสังคมไม่ได้เตรียมการเข้าสู่สภาพที่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่าง
เป็นธรรมและระบบยุติธรรมไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น

การทำให้เกิด
ความสงบราบคาบโดยอำนาจเบ็ดเสร็จนี้
ไม่ต่างอะไรจากคนไข้หนักที่เป็นโรคร้ายแรงและต้องการการผ่าตัด
แต่กลับได้รับยาระงับปวดที่เป็นยาเสพติดที่ให้โทษร้ายแรงแต่ขาดไม่ได้

4.การแก้ปัญหาความขัดแย้งและการทำให้เกิดการปรองดอง : ขาดความเข้าใจอย่างสิ้นเชิง

สอง
ปีมานี้
ผู้มีอำนาจมักพูดถึงความขัดแย้งอย่างผิวเผินเพื่ออ้างเหตุของการเข้าสู่
อำนาจและความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในอำนาจต่อไป
ทุกครั้งที่มีการพูดถึงการปรองดอง
ผู้มีอำนาจจะบอกว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย
ผู้กระทำความผิดต้องมารับโทษเสียก่อน ขณะเดียวกันก็ประกาศว่า
“คำพูดคือกฎหมาย” และ “ฉันนี่แหละคืออำนาจ”

ผู้มีอำนาจไม่เคยแสดงออก
ถึงความเข้าใจต่อปัญหาความขัดแย้งและการปรองดองเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าการ
ปรองดองหมายถึงการทำให้ผู้ที่มีความขัดแย้งแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันในสังคม
ได้โดยอาศัยและยอมรับกฎกติกาที่เป็นธรรม
ไม่ใช่การใช้กำลังเข้าหักหาญทำลายกันหรือการกดไว้ด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเบ็ด
เสร็จของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ไม่เคยมีความพยายามที่จะรวบรวมองค์ความรู้
และข้อเสนอเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการปรองดองที่มีอยู่แล้ว
ไม่เคยส่งเสริมให้มีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับต้นเหตุของความขัดแย้งในสังคม
ไทยและไม่เคยเปิดโอกาสให้มีการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่าง
เท่าเทียม

สิ่งที่คสช.ดำเนินการเรื่อยมา
นอกจากไม่ช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแล้ว
คสช.ยังได้กลายฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งเสียเอง
ความขัดแย้งระหว่างคสช.กับประชาชนผู้เห็นต่างทั้งหลาย

5.การละเมิดสิทธิมนุษยชน : มากเป็นประวัติการณ์

การ
ละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบวิธีการต่างๆได้เกิดขึ้นอย่างมากมายต่อเนื่อง
ได้แก่ การใช้คำสั่งคสช.เพื่อควบคุมกักขัง
สร้างเงื่อนไขเพื่อห้ามแสดงความเห็นทางการเมืองที่เรียกว่าการปรับทัศนคติ
การระงับธุรกรรมทางการเงิน การห้ามเดินทางไปต่างประเทศ
การเพิกถอนหนังสือเดินทาง การใช้คำสั่งที่ให้ทหารมีอำนาจในการจับกุมคุมขัง
ตรวจค้นและสอบสวนมากกว่าตำรวจและโดยไม่ต้องมีหมายศาล
คำสั่งให้อำนาจทหารในการจัดการกับผู้มีอิทธิพลที่ถูกใช้กับนักการเมืองบาง
ฝ่ายเท่านั้น การตั้งข้อหาอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผลและการดำเนินคดีในศาลทหาร
รวมทั้งการข่มขู่คุกคามครอบครัว
สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรการเพื่อขัดขวางไม่ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์คสช.และ
รัฐบาล ซึ่งนอกจากจะเป็นการปิดปากผู้เห็นต่างแล้ว
ยังเป็นการปิดหูปิดตาประชาชนทั่วไปด้วย

การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิด
ขึ้นทำให้ประเทศไทยตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของประเทศต่างๆทั่วโลกอย่างที่
ไม่เคยมีมาก่อน
ทำให้สถานะและภาพพจน์ของประเทศไทยตกต่ำและเป็นอุปสรรคต่อการร่วมมือกับ
ประเทศต่างๆในทุกด้าน

6.การคืนประชาธิปไตย : ยืดออกไปเรื่อยๆ

การ
ยึดอำนาจที่ว่าขอเวลาอีกไม่นานนั้น ผ่านไปแล้ว 2 ปี
มีการร่างรัฐธรรมนูญที่ล้มกันไปเองแล้ว 1 ฉบับกับร่างอีก 1
ฉบับที่รอการลงประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีเนื้อหาที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ประชาชนจะได้ไปเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถกำหนดความเป็นไปของบ้านเมืองได้
เพราะจะมีสว.ที่มาจากคสช.จำนวนมากมาร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี
มีความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรีจะไม่ได้มาจากสส.
รัฐบาลจะตอบสนองความต้องการของประชาชนได้น้อย
ทั้งจากที่มาและการถูกกำหนดโดยยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปที่กำกับโดย
วุฒิสภา

ผู้ที่มีอำนาจมากกว่ารัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร คือ วุฒิสภา
องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ สภาพเช่นนี้อาจจะดำรงอยู่ไปอย่างน้อย 5 – 10
ปี พร้อมกับแผนปฏิรูปที่จะมีผลไปอีก 20 ปี
ร่างรัฐธรรมนูญนี้เมื่อใช้แล้วจะแก้ได้ยากมากหรือที่คนจำนวนมากเชื่อว่าจะ
แก้ไม่ได้อีกแล้ว
กำลังมีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญนี้
แต่การทำประชามติกลับเป็นไปโดยไม่เสรีและเป็นธรรม
ผู้มีอำนาจทั้งหลายชี้นำให้รับร่างรัฐธรรมนูญนี้กันอย่างออกนอกหน้า
มีการใช้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ
นักศึกษาวิชาทหารและองค์กรมวลชนจัดตั้งของฝ่ายความมั่นคงจำนวนรวมกันหลายแสน
คนชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญต่อประชาชนทั่วประเทศ
ซึ่งยากที่จะหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจหน้าที่ในการชี้นำหรือจูงใจให้รับร่างฯ

ใน
ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพจนเกือบจะพูดอะไรทำอะไรไม่ได้

มีการข่มขู่ว่าอาจจะผิดกฎหมายประชามติที่กำหนดโทษร้ายแรงอย่างไม่เป็นเหตุ
เป็นผลและเขียนไว้อย่างคลุมเครือ หรือไม่ก็อาจขัดคำสั่งคสช.ฉบับใดฉบับหนึ่ง
มีการเสนอความเห็นทักท้วงขอให้แก้ไขผ่อนคลาย
แต่ก็ไม่มีการตอบสนองในทางที่ดี

การทำประชามติครั้งนี้จึงกำลังมีปัญหาการไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญไปด้วย

ประเทศ
ไทยกำลังจะเสียโอกาสที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งแตกต่างในทางความคิดด้วยกระบวน
การที่เป็นประชาธิปไตย
เนื่องจากไปทำให้การลงประชามติไม่เสรีและไม่เป็นธรรมเสียตั้งแต่ต้น
ส่วนการคืนประชาธิปไตยให้ประชาชนก็ถูกยืดออกไปจนไม่เห็นอนาคต
7.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ : ข้อจำกัดจากระบบการปกครอง

การ
แก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่ไม่ประสบความสำเร็จทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว
เติบโตต่ำที่สุดในภูมิภาค
แม้จะกระเตื้องขึ้นบ้างเล็กน้อยจากการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐ
แต่การลงทุนยังชะลอตัวและการบริโภคต่ำ เนื่องจากหนี้ครัวเรือนสูงมาก
ภาวะเช่นนี้ทำให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย รวมถึงเกษตรกร คนยากจน
ต้องเดือดร้อนมากกว่า ทุนขนาดใหญ่บางส่วนเท่านั้นที่ยังพอทำธุรกิจกันไปได้
ปัญหานี้เป็นผลสืบเนื่องจากเศรษฐกิจโลกตกต่ำ
เศรษฐกิจที่เป็นคู่ค้ากับประเทศชะลอตัวก็จริง
แต่ถูกซ้ำเติมด้วยการขาดวิสัยทัศน์ ประสบการณ์ ความรู้ในการทำงาน
การวางคนที่ไม่เหมาะกับงาน
เอาคนที่ไม่มีความรู้ด้านการบริหารมาคุมกระทรวงสำคัญๆเสียเป็นส่วนใหญ่
โดยคนที่มีความรู้ทางเศรษฐกิจไม่สามารถทำอะไรได้

นอกจากนั้น
นายกฯยังขาดความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ
ความรู้ในการบริหารประเทศและขาดการรับฟังผู้อื่น
มักแสดงความเห็นแบบผิดบ้างถูกบ้าง พูดเผื่อๆไว้
จนไม่มีใครรู้ว่านโยบายรัฐบาลคืออะไรกันแน่แทบทุกเรื่อง

ปัญหาที่ซ้ำ
เติมเข้ามา เนื่องจากประเทศไทยต้องคบค้าต่างประเทศ
รวมทั้งมีเรื่องที่ต้องแก้ไขด้วยการเจรจา แต่ประเทศต่างๆก็จะไม่ร่วมมือ
ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย
และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมาก
รวมทั้งยังไม่มีความชัดเจนว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่
ทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ขาดความเชื่อมั่นว่าประเทศจะมีเสถียรภาพและพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปได้
เรื่องนี้เป็นค่าใช้จ่ายและความเสียหายที่แพงมากของการรัฐประหารและการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
บทสรุป 2 ปีหลังการรัฐประหาร

การ
รัฐประหารและการดำเนินการต่างๆที่ต่อเนื่องจากการรัฐประหารในช่วง 2
ปีที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จดังที่กล่าวอ้าง
เกิดเป็นความเสียหายต่อประเทศชาติในทุกด้าน

2 ปีมานี้
ไม่มีการปฏิรูปเกิดขึ้นแม้แต่เพียงเรื่องเดียวและไม่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น
ได้
การปฏิรูปเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้เกิดการเข้าสู่อำนาจและการมีอำนาจต่อไป
อีกยาวนานเท่านั้น

ไม่มีหลักประกันว่าการคอรัปชั่นจะลดน้อยลงและยัง
เกิดระบบที่เอื้อต่อการคอรัปชั่นเสียเองอีกด้วย
ระบบกลไกในการจัดการกับปัญหาคอรัปชั่นได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จใน 2 ปีมานี้ ทำให้ไม่มีองค์กรอิสระ
การบริหารราชการไม่มีการถ่วงดุลและไม่มีใครตรวจสอบได้
การใช้คำสั่งต่างๆไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการ
ป้องกันปราบปรามคอรัปชั่น

ผู้มีอำนาจไม่ได้แสดงความเข้าใจที่ถูกต้อง
ต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการปรองดอง
ทั้งยังสร้างความขัดแย้งด้วยการใช้อำนาจตามอำเภอใจและเลือกปฏิบัติ
ทำให้ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งเสียเอง

มีการละเมิดสิทธิมนุษย
ชนมากเป็นประวัติการณ์
ประเทศไทยตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในเวทีโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน
สถานะของประเทศตกต่ำและเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือกับประเทศต่างๆ

หลัง
จากผ่านไป 2 ปี การขอเวลาอีกไม่นานกำลังจะกลายเป็นการขอเวลาควบคุมอีก 5
ปีที่อาจมีผลต่อเนื่องไปเป็น 10 ปีหรือ 20 ปี
สิ่งเหล่านี้ถูกบรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่กำลังจะมี
การลงประชามติแบบไม่เสรีและเป็นธรรม

สิ่งที่ทำให้คนจำนวนมากพอใจเพียง
สิ่งเดียว คือ การยุติความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง
แต่สิ่งนั้นไม่ใช่ความสงบที่ยั่งยืน หากเป็นความสงบราบคาบที่รอวันปะทุ
เนื่องจากความสงบที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย
หากเกิดจากการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จที่คำพูดกลายเป็นกฎหมาย
ปิดกั้นการแสดงความเห็นที่แตกต่าง การร้องเรียนถึงความเดือดร้อนกระทำไม่ได้

สังคมไม่ได้เตรียมการเข้าสู่สภาพที่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเป็นธรรม
และระบบยุติธรรมไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น

การทำให้เกิดความสงบ
ราบคาบโดยอำนาจเบ็ดเสร็จนี้
ไม่ต่างอะไรจากคนไข้หนักที่เป็นโรคร้ายแรงและต้องการการผ่าตัด
แต่กลับได้รับยาระงับปวดที่เป็นยาเสพติดที่ให้โทษร้ายแรงแต่ขาดไม่ได้

สิ่ง
ที่ประชาชนคาดหวังอย่างมาก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็คือ
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากเป็นเพราะขาดวิสัยทัศน์ ประสบการณ์ความรู้
ความสามารถแล้ว
ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาความไม่ยอมรับต่อการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและ
การละเมิดสิทธิมนุษยชน
สองปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรทำได้ตามที่อ้าง
ที่ดูเหมือนทำได้ก็ไม่ใช่ของดีจริง
ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูงมากคือทำให้เกิดความเสียหายในทุกด้าน

ที่มา : www.matichon.co.th