“ชูศักดิ์” ชี้ กฎหมายอาญานักการเมืองขัดหลักนิติธรรม

       นายชูศักดิ์
ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย
ได้ระบุว่ากรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุด ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
กรณีที่อัยการสูงสุดได้มีความเห็นให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อให้พิจารณาคดีของนายทักษิณ
ชินวัตร ที่ศาลได้รับฟ้องไว้แล้วต่อไป ได้แก่ คดีการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร
และคดีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตนั้น เห็นว่า
แม้การดำเนินการของอัยการสูงสุดจะเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พ.ศ.2560 ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาก็ตาม
แต่เมื่อพิจารณาหลักการที่เปลี่ยนไปของกฎหมายฉบับดังกล่าวและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับคดีทั้งสองเรื่องจะเห็นได้ว่ามีความไม่ชอบธรรมและขัดต่อหลักการสากลในหลายเรื่อง ดังนี้

       เรื่องการพิจารณาคดีลับหลังจำเลยการกำหนดให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้เป็นการยกเว้นหลักการสำคัญในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ใช้กับคดีอาญาทั่วไป
นั้นเป็นการขัดต่อหลักการสากลที่การพิจารณาคดีอาญาจะต้องกระทำต่อหน้าจำเลยซึ่งการพิจารณาคดีและพิพากษาไปฝ่ายเดียวนั้นโดยหลักจะนำไปใช้ในเฉพาะคดีแพ่งเท่านั้น
ไม่ควรนำมาใช้ในคดีอาญาด้วยซึ่งเรื่องดังกล่าวตนเองได้คัดค้านมาตั้งแต่ในชั้นการยกร่างกฎหมายแล้ว
กฎหมายในลักษณะนี้ นอกจากไม่ได้สร้างความเป็นธรรมให้แก่จำเลยในคดีอาญาแล้ว กลับเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมของจำเลยด้วย

       การเริ่มต้นของคดีนี้เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่ามาจากผลจากการรัฐประหาร
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จะเห็นได้ว่า คดีนี้เริ่มจากการที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
(คตส.) ขึ้นมาดำเนินการเพื่อเอาผิด ซึ่ง คตส. ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องความไม่ชอบธรรม
ทั้งในแง่ตัวบุคคลและกระบวนการ และเมื่อส่งเรื่องต่อมายังคณะกรรมการ ป.ป.ช.
หลายคนในคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ก็ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องความไม่เป็นกลางและอคติทางการเมืองคดีทั้งสองเรื่องนี้จึงมีมูลเหตุมาจากเหตุผลทางการเมือง

       นอกจากนี้
ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 69
ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ
ก็มิได้บัญญัติไว้ชัดเจน 
ในกฎหมายดังกล่าวมีผลย้อนหลังไปใช้กับคดีที่เกิดขึ้นก่อนวันที่กฎหมายใช้บังคับด้วย 
โดยหลักจึงไม่อาจนำกฎหมายไปใช้บังคับกับบุคคลที่การกระทำเกิดขึ้นก่อนที่กฎหมาย  ใช้บังคับได้

       ด้วยเหตุนี้
ที่สุดแล้วศาลได้พิจารณาคดีจนเสร็จสิ้นและมีคำพิพากษา กรณีจึงเป็นว่า
ศาลได้พิจารณาและพิพากษาคดีไปฝ่ายเดียว โดยที่จำเลยไม่ได้เข้ามาในคดี แม้โดยระบบไต่สวนให้อำนาจศาลในการแสวงหาข้อเท็จจริงในคดี
แต่การที่จะได้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายจำเลยนั้นคงเป็นไปได้ยาก จึงเห็นว่ากฎหมายที่ออกมาในลักษณะนี้
ย่อมขัดต่อหลักนิติธรรม

22 พ.ย. 60