จับตาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หลังคสช.ส่อแววต่ออายุ

คณะทำงานด้านเศรษฐกิจเพื่อไทย “หวั่น”
ปัญหายืดเวลาเลือกตั้งกระทบเศรษฐกิจประเทศ
เชื่อมั่นถดถอย รากหญ้าขาดสภาพคล่อง คนจนหมดความอดทน กลัวอดตายมากกว่า ม. 44

  นายวิม รุ่งวัฒนจินดา
คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย
เปิดเผยถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นด้านการลงทุนจากกรณีการยืดเวลาการบังคับใช้
พรป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ว่า การเลื่อนเวลาและการปรับโรดแมปการเลือกตั้งของรัฐบาล
คสช. เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย
โดยเฉพาะความเชื่อมั่นด้านการลงทุนจากต่างชาติ ตลอดเวลา เกือบ 4 ปีที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
ขณะที่ประเทศต่างๆในอาเซียนมีอัตราการขยายตัวในระดับสูง ทั้งนี้เกิดจากความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลที่ใช้อำนาจเผด็จการมากเกินไป
จนทำให้นักลงทุนวิตกและเกิดความกลัว โดยเห็นได้จากรายงานตัวเลขเวิลด์แบงค์ ที่จัดอันดับประเทศที่น่าลงทุน
ซึ่งประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 46 เมื่อปี 2560 ขณะที่ปี 2554-2557 ก่อนการทำรัฐประหาร
ประเทศไทยมีความน่าเชื่อถือในการลงทุนที่ลำดับ 16-17  แต่ในปี 2561 มีสัญญาณที่ดี ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลจะทำตามสัญญาคือการเร่งจัดการเลือกตั้งตามโรดแมป
ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจที่จะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง  แต่กลับกลายเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ สนช. มีมติยึดระยะเวลาการบังคับใช้
พรป. ส.ส.ออกไปอีกอย่างน้อย 90 วัน
ทำให้นักลงทุนและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศลดลงอย่างน่าตกใจ 
ถือเป็นการซ้ำเติมประเทศให้ตกอยู่ในภาวะย่ำแย่ต่อไปอีก
รวมทั้งประเทศจะสูญเสียโอกาสในการพัฒนาด้านต่างๆอีกมากมาย
แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายขับเคลื่อนประเทศ “ไทยแลนด์ 4.0” ก็ตาม
ก็คงไม่สามารถพัฒนาอะไรได้เพราะนโยบายกับการปฏิบัติไม่ไปในทิศทางเดียวกัน

    อย่างไรตามแม้ว่าขณะนี้รัฐบาลจะพยายามดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจในระดับฐานราก
เช่นการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ การปล่อยสินเชื่อภาคประชาชน เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในภาคครัวเรือน
แต่มาตรการดังกล่าวยังไม่ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นมากนัก
จึงทำให้อัตราการขยายตัวไม่เพิ่มขึ้น ประกอบกับภาพลบของรัฐบาลในการทุจริตมีมาก
จนทำให้ประชาชนหมดความเชื่อมั่น  การจับจ่ายเกิดการชะลอตัว
รวมทั้งมาตรการตั้งทีมประชารัฐ 7
,000
กว่าทีม ลงไปทุกตำบลเพื่อจะแก้ไขปัญหาให้ประชาชนในระดับรากหญ้า ก็เป็นมาตราการที่หวังผลทางการเมืองมากกว่าที่จะเน้นการแก้ไขปัญหาปากท้อง

    นอกจากนี้มาตรการช่วยเหลือและการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง
เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะฝืดเคือง ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศอยู่สภาพที่อดมื้อกินมื้อ
แต่ไม่กล้าแสดงออกหรือเรียกต่อภาครัฐเพราะการใช้อำนาจตามมาตรา 44
ของรัฐบาลทำให้ประชาชนถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก
ส่งผลให้ขณะนี้ตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
เพราะประชาชนขาดรายได้ รายจ่ายที่จำเป็นปรับสูงขึ้น ประชาชนผู้มีรายได้
จำเป็นต้องกู้เงินนอกระบบเพิ่มมากขึ้น

    สำหรับการลงทุนภาครัฐตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
รัฐบาล คสช. เน้นแต่นโยบายการลงทุนขนาดใหญ่ ทำให้เม็ดเงินงบประมาณไม่กระจายตัว
แต่กลับกระจุกตัวกับการจ้างงานบริษัทขนาดใหญ่ที่ได้รับประโยชน์เพียงไม่กี่ราย
ประกอบกับการจ้างงานของบริษัทขนาดใหญ่ก็เน้นแต่การจ้างแรงงานต่างด้าวเพราะมีค่าแรงถูกกว่า  จนทำให้แรงงานไทยไม่มีงานทำ
ซึ่งต่อไปจะกลายเป็นปัญหาที่รัฐบาลต่อไปต้องเร่งแก้ไข

    นายวิม
รุ่งวัฒนจินดา กล่าวอีกว่า การยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาล คสช.
จะหวังผลทางการเมืองอย่างไรก็ตาม  แต่สิ่งที่อยากให้รัฐบาลคำนึงถึงมากที่สุด
คือปากท้องของพี่น้องประชาชน
ความเดือดร้อนในวันนี้มันมากเสียจนจะหมดความอดทน กลัวอดตายมากกว่า มาตรา 44
ของรัฐบาล ซึ่งเกรงว่าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าที่รัฐบาลที่มีอำนาจมากอย่าง คสช.
จะแก้ไขได้