4ปี คสช.อยู่พอแล้ว แต่ถ้าอยากอยู่ต่อมาลงเลือกตั้ง


รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดใจ ‘วอยซ์ ออนไลน์’ ถึงวาระซ่อนเร้นของการใช้กลไกของรัฐบาล คสช.แต่งตั้งคณะกรรมการไทยนิยมยั่งยืน พร้อมทั้งเรียกร้องให้คืนอำนาจประชาชนผ่านการเลือกตั้ง

ภายใต้คำสั่ง หัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ซึ่งยังไม่สามารถปลดล็อกให้บรรดาพรรคการเมืองเดิมที่อยู่ก่อนการรัฐประหาร เมื่อปี 2557 ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ทันที

ส่งผลให้การคิดนโยบายต่างๆเพื่อนำไปใช้หาเสียงในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต้องชะงัก

‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย บอกกับ ‘วอยซ์ ออนไลน์’ ว่า “การที่รัฐบาลยังไม่เปิดโอกาสทำให้การพบปะพูดคุยกลุ่มปัญหาต่างๆก็มีปัญหา เพราะขัดต่อกฎหมาย ผมอยากให้ คสช.เปิดโอกาสให้ถูกต้อง ทุกคนจะได้หาอนาคตให้กับประเทศชาติได้ ทำให้พรรคการเมืองไม่สามารถขยับอะไรได้ การคิดนโยบายคือทำได้แค่นั่งกินข้าว หารือ วิเคราะห์จากปัญหาตำราต่างๆ”

รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย วิเคราะห์ถึงปัญหาอุปสรรคที่ของพรรคเพื่อไทยในการผลักดันนโยบายของพรรคภายใต้ข้อจำกัดของกลไกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้งประเมินถึงกลยุทธ์ของ ‘รัฐบาล คสช.’ ที่แต่งตั้งคณะกรรมการไทยนิยมยั่งยืน จะมีผลกระทบอะไรต่อพรรคการเมือง

ในข้อจำกัดทางกฎหมาย การคิดนโยบายของพรรคเพื่อไทยในอดีตที่จะนำมาต่อยอดในตอนนี้ทำได้เต็มที่หรือไม่

หลายนโยบายที่พรรคเพื่อไทยเคยทำมาประสบความสำเร็จเป็นที่นิยมก็คงทำได้ แต่ปัจจุบันอยู่ใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีข้อจำกัดค่อ่นข้างเยอะ ถ้าหาเสียงต้องชี้แจงข้อเท็จจริงและแหล่งที่มา ในขีดจำกัดนี้ทำให้การเสนอนโยบายมีความยากลำบาก สิ่งต่างๆต้องนำเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบก่อน ซึ่งเราคัดค้านมาตลอด จริงๆนโยบายควรสะท้อนเจตนาของเรานำเสนอให้ประชาชนได้เลือก เราถึงนำนโยบายมาหาทางออก อย่างโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคก็ทำมาแล้ว

ภายใต้รัฐธรรมนูญ มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทำอะไรก็ต้องอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ ผมเป็นห่วงคือ เรากำลังทำสิ่งที่ผิดธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าเขากำหนดภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายถ้ายังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อทำไปก็ถูกคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติในข้อหาที่ผิดรัฐธรรมนูญ อาจถูกยุบพรรคได้ เป็นความยากลำบากของสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะพรรคเพื่อไทย ผมคิดว่าวันนี้กำลังสร้างอุปสรรคให้พวกเรากันเอง ไม่แน่ใจรัฐธรรมนูญ จะคล่องตัวแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตให้ประชาชนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้แค่ไหน

ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ก็ต้องบอกกับประชาชนว่า ยังไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะกฎกติกาเป็นเครื่องมือจองจำเราให้แก้ปัญหาให้ประชาชนไม่ได้ ต้องให้ประชาชนร่วมกันคิด

กำลังจะบอกว่านโยบายของพรรคจะทำไม่ได้ ถ้าไม่มีการปลดล็อกกฎเหล็กของ คสช.

วันนี้ยังมีข้อจำกัด ผมเรียกร้องให้รัฐบาลรีบปลดคำสั่งที่บีบบังคับจำกัดบทบาทนักการเมืองให้หลุดพ้น สิ่งที่นักการเมือง พรรคการเมืองกำลังทำไม่ได้เป็นปัญหาต่อความมั่นคง เสถียรภาพของรัฐบาล เป็นเรื่องในประเทศได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนำไปสู่การเลือกตั้งแล้ว หากจริงใจกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจริงใจต่อการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นและระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ก็ควรเปิดโอกาสให้แสวงหาหนทางทำงานการเมืองในอนาคต

  “ถ้าคิดว่าประชาชนมีวิจารณญาณตัดสินใจได้ ท่านก็หมดเวลาแล้ว แต่ถ้าท่านคิดว่าสังคมไทยประชาชนไทยยังไม่ฉลาด ไม่มีวิจารณญาณตัดสินใจอะไรได้ ท่านอยู่ต่อ ก็ถือว่าดูถูกประชาชนมากเกินไป”

คสช.ควรปลดล็อกกิจกรรมทางการเมืองนับแต่วันนี้

ควรปลดตั้งนานแล้ว จริงๆวันนี้อยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษมา 4 ปีแล้ว วันนี้ยังไม่เห็นเหตุผลอะไรที่รัฐบาลต้องคงสิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ วันนี้รัฐบาลออกไปทำโครงการไทยนิยมก็เหมือนเป็นการหาเสียงใช้งบฯราชการ สร้างความนิยม ชิงความได้เปรียบกับพรรคการเมืองอื่นๆ ในความเป็นจริงควรเปิดให้ทุกฝ่ายได้แสดงออก สัมผัสกับประชาชนอย่างเต็มที่ ไม่ควรใช้ความเป็นรัฐ เพราะในรัฐธรรมนูญปกติก็ทำอย่างนี้ไม่ได้ การเลือกตั้งที่จะเกิดรัฐบาลจะถูกจำกัดอย่างมากโดยเฉพาะการโยกย้ายบุคลากร

กลไกการตั้งคณะกรรมการไทยนิยมยั่งยืน จะเป็นการสืบทอดอำนาจของรัฐบาล คสช.หรือไม่

ผมก็เฝ้ามองด้วยความเป็นห่วง ถ้าเป็นไปตามที่รัฐบาลได้กล่าวไว้โครงการไทยนิยมเกิดขึ้นจากคำพูดหรือความเห็นของนายกฯในงานวันเด็กแห่งชาติแล้วมีการไปทำนโยบาย ใช้งบประมาณกว่าแสนล้านบาท ระดมข้าราชการไม่ต่ำกว่า 7,000 – 8,000 คน สิ่งที่กำลังจับตาใช้ครู ก ครู ข เหมือนตอนทำประชามติที่ใช้ข้าราชการ อันนี้หลายคนเป็นห่วงว่ารัฐใช้งบประมาณมหาศาล ลงไปในพื้นที่ต่างๆที่ตัวเองได้คิดวางไว้แล้วในการสร้างความนิยมให้กับตัวเองใช่หรือไม่ การนำงบประมาณอย่างนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดจะดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่ก็มีใช้จ่ายเบี้ยเลี้ยง ดังนั้น ประชาชน สื่อมวลชนควรจับตาการใช้งบประมาณไทยนิยมอย่างจริงจังเป็นการใช้งบประมาณเหมาะสมเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนหรือไม่

กังวลว่ากลไกนี้จะบั่นทอนฐานเสียง ของพรรคเพื่อไทยหรือไม่

เรื่องกังวลผมไม่กังวล เพราะมีสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือความเหมาะสมถูกต้อง มันไม่ถูกต้อง เป็นการใช้งบประมาณหลวงหาประโยชน์ส่วนตัว บางคนบอกว่าไปหาเสียงล่วงหน้า เรื่องที่สอง คือความยุติธรรมมันก็มีไม่เพียงพอ อยู่ๆตัวเองใช้อำนาจรัฐ งบประมาณหลวง เสมือนไปหาเสียงประชาชน

พรรคเพื่อไทยยังหวังการเลือกตั้งจะมีในปลายปีนี้ตามที่นายกฯได้สัญญาไว้

ส่วนตัวผมไม่ได้หวังอะไรว่าการเลือกตั้งจะเกิดในปีนี้จริงๆ การเกิดขึ้นมันเกิดจากพฤติกรรมของผู้นำรัฐบาล หรือรัฐบาลเองไม่ได้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นวาตัวเองจะยึดถือโรดแมป เพราะ 4 ปีที่่ผ่านมาโรดแมปเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ท่านพูดในเวทีระดับสากล ในที่ประชุมนานาชาติ ท่านก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอด ท่านโยนทุกอย่างให้เป็นความผิดของผู้ออกกฎหมายหรือ สนช. แต่ประชาชนไม่ลืม องค์กรต่างๆท่านใช้อำนาจพิเศษจัดตั้ง ดังนั้น ก็เป็นปัญหาของท่านความรู้สึกที่คนไม่มั่นใจก็พฤติกรรมของท่าน

ผมค่อนข้างเป็นห่วงการที่ท่านไม่รักษาสัญญาสามารถเลื่อนไปได้เรื่อยๆอย่างไม่มีข้อยุติ ทำให้สังคมคิดว่าท่านเองกระทำไปเพื่อสืบทอด อยากอยู่ในอำนาจต่อไปยาวนาน แม้ท่านจะปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ผู้คนไม่สบายใจ ต่างประเทศไม่สบายใจ ไม่มีประโยชน์ใดๆจะสร้างความไม่มั่นใจให้เกิดขึ้น

จะเป็นจุดเปราะบางรัฐบาลทหารหรือไม่ เพราะกลุ่มมวลชนประชาชน นักศึกษาออกมาเรียกร้องให้เลือกตั้ง

สิ่งนี้น่าเป็นห่วง เวลานี้ทุกคนเฝ้าดูไม่สบายใจที่ท่านจะสืบทอดอำนาจไปเรื่อยๆ การบริหารเศรษฐกิจของท่านก็ยังไม่ตอบโจทย์ให้ประชาชนมีชีวิตที่สบายขึ้น เขาให้เวลาท่านมาเพียงพอเกือบ 4 ปีแล้ว ถ้าท่านอยากได้เวลาเพียงพอมากกว่านี้ ท่านก็ควรเข้ามาสู่กระบวนการให้ประชาชนตัดสินใจ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไว้วางใจก็จะให้ท่านเดินต่อไปอย่างสง่างาม อย่างมั่นคง

  “ความยุติธรรมมันก็มีไม่เพียงพอ อยู่ๆตัวเองใช้อำนาจรัฐ งบประมาณหลวง เสมือนไปหาเสียงประชาชน”


ตัวนักการเมือง พรรคการเมืองมองว่าหมดเวลาหรือยังกับรัฐบาลชุดนี้ คสช.ควรต้องต่อเวลาพิเศษอีกหรือไม่

ก็มันอยู่ที่วันนี้การที่จะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ ก็คือว่าท่านเชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนมีวิจารณญาณตัดสินใจได้หรือไม่ ถ้าคิดว่าประชาชนมีวิจารณญาณตัดสินใจได้ ท่านก็หมดเวลาแล้ว แต่ถ้าท่านคิดว่าสังคมไทยประชาชนไทยยังไม่ฉลาด ไม่มีวิจารณญาณตัดสินใจอะไรได้ ท่านอยู่ต่อ ก็ถือว่าดูถูกประชาชนมากเกินไป

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้คือ ท่านควรรีบคืนอำนาจอธิปไตยไปสู่ประชาชนให้มีสิทธิตัดสินใจอนาคตของเขาเอง แค่นี้ก็นานมากเพียงพอแล้ว คือปัญหาทางเศรษฐกิจเกิดจากความไม่เชื่อมั่น ทำให้นักลงทุนไม่เข้ามา ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดคือสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น ท่านควรถอยออกไป ถ้าท่านจะบอกให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าไม่ต้องการสืบทอดอำนาจก็เดินไปตามโรดแมป 4ปีเต็มสำหรับรัฐบาลอำนาจพิเศษก็มากเพียงพอ รัฐบาลประชาธิปไตยไม่มีใครทำได้มาก นอกจากรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ได้ยาวขนาดนี้
ปรับโครงสร้าง – เปิดสเปกผู้นำ ‘เพื่อไทย’

แม้จะมีกระแสข่าวลือสะพัดออกมาล่าสุด ว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคน บินไปในต่างแดนเพื่อปะกับอดีตนายกฯ ทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

โดยมีการคาดการณ์ว่าการหารือดังกล่าวเพื่อประเมินถึงตัวบุคลากรผู้นำพรรคคนใหม่ หลังจากเข้าสู่โหมดยกเลิกกฎเหล็ก คสช.ที่คุมขังการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของทุกพรรคการเมืองแล้ว

‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ ซึ่งเป็นแม่บ้านพรรคเพื่อไทย เข้าสู่ปีที่ 6 เคลียร์ถึงประเด็นดังกล่าวว่า ข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริง อดีตนายกฯของพรรคทั้ง 3 คนก็มีภารกิจส่วนตั การพบปะที่ผ่านมาจึงยังไม่มี

“ผมสอบถามสมาชิกพรรคไม่มีใครได้ไปพบ ท่านพูดชัดเจนจะไม่เข้ามาบริหารจัดการภายใน ท่านแต่ได้ให้กำลังใจที่ท่านเป็นสมาชิกเก่าแก่ตั้งแต่ต้น”

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยจะมีการปรับโครงสร้างใหม่ภายในพรรคหรือไม่หลังมีกระแสข่าวดังกล่าวเกิดขึ้น รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย บอกว่า “พรรคเพื่อไทยคงมีเรื่องขบคิด ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของพรรค เพราะว่าสถานการณ์เกือบ 4-5 ปีมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก โลกเปลี่ยนไปแปลงไปรวดเร็ว การปรับปรุงพรรคให้ปรับตัวตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ๆ และต้องคัดเลือกบุคลากร คนรุ่นใหม่มาอยู่ในพรรคมากขึ้น”

“ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยชัดเจนอยู่แล้วมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคอยู่แล้วท่านก็ทำหน้าที่เต็มที่ บุคลากรของพรรคก็ยอมรับท่าน”

แน่นอนว่าที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยจะใช้บุคลากรของพรรคเป็นหัวหน้าพรรคโดยไม่ต้องเป็นถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก็ตาม

แต่เมื่อถามเจาะไปถึงคุณสมบัติของผู้นำพรรคเพื่อไทย ที่จะมีขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีหรือไม่

‘ภูมิธรรม’ ตอบว่า “ผู้นำพรรคคนใหม่ ควรต้องมีวิสัยทัศน์ เข้าใจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องยอมรับว่าพรรคต้องปรับบทบาทภาพลักษณ์ ให้สอดรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่สำคัญคือยึดกุมหัวใจของพรรค พรรคต้องยึดมั่นในการนำเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางการคิดนโยบายต่างๆ เหมือนสโลแกน พรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน”

ดังนั้น คุณสมบัติผู้นำพรรคต้องมีวิสัยทัศน์ ยึดมั่นผลประโยชน์ประชาชน เพื่อเดินหน้าไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้เกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง และสิ่งที่สำคัญต้องเป็นผู้ประสานร่วมมือดึงเอาศักยภาพของสมาชิกทั้งหลายให้พรรคสามารถทำหน้าที่รับใช้ประชาชน

‘ภูมิธรรม’ ยืนยันว่า บุคลากรในพรรคมีสเปกตามที่เขาได้ระบุไว้อยู่หลายคน

ที่มา : https://www.voicetv.co.th