“อนุดิษฐ์” ถาม “ประยุทธ์” ไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญ หวังผลเลือกตั้งครั้งหน้าใช่หรือไม่

(4 ต.ค. 62) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงท่าทีชัดเจนเรื่องการไม่เอาด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ว่า เป็นเรื่องไม่เหนือความคาดหมาย และขอตั้งคำถามว่า เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ยังจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปใช่หรือไม่

แม้จะรู้ดีว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหามากมาย แม้กระทั่งกับรัฐบาลชุดนี้เองที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานเป็นอย่างมาก แต่หากเทียบกับผลประโยชน์ทางการเมืองที่จะได้รับ โดยเฉพาะการสืบทอดอำนาจออกไปเรื่อยๆ ก็เชื่อว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และเครือข่าย จะยังคงขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมา “เพื่อพวกเรา” อย่างแน่นอน

น.อ.อนุดิษฐ์ ยืนยันว่า ไม่ได้คาดหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับใจมาถือธงนำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเขาเป็นคนยึดอำนาจและฉีกรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง ก่อนจะให้ลูกสมุนเนติบริกรทั้งหลายยกร่างขึ้นมาใหม่ แต่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะสำนึกบ้างว่า ได้ทำอะไรอย่างที่เคยให้สัญญากับประชาชนไว้หรือไม่

ทั้งการปฏิรูปการเมือง การสร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ การแก้ไขปัญหาความยากจน หรือการขอเวลาอีกไม่นานในการเป็นผู้นำจากรัฐประหารที่ใช้อำนาจพิเศษ แต่สิ่งที่ผู้คนเห็นอยู่ในขณะนี้ กลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ความยากจน ที่มีตัวเลขคนจนเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย

“นอกจากจะไม่รู้สึกรู้สาแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ยังหวังจะอยู่ในอำนาจต่อไป โดยอาศัยกลไกพิเศษที่ถูกออกแบบเอาไว้ใช่หรือไม่ โดยเฉพาะ 250 ส.ว. ที่โหวตเลือกนายกฯได้ถึง 2 สมัย โดยไม่สนใจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ที่แม้แต่รัฐบาลของตัวเองก็ยังไม่สามารถแก้ได้ อันเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมาเพื่อการสืบทอดอำนาจไม่ใช่เพื่อแก้เศรษฐกิจ”

น.อ.อนุดิษฐ์ ยังกล่าวอีกว่า นอกจากจะไม่ยอมรับความจริงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงคอยพูดอบรมสั่งสอน ตำหนิติติงประชาชนในเรื่องต่างๆ ในลักษณะอวดรู้หรือยกตนข่มท่าน ซึ่งในแต่ละเรื่องที่ตำหนิประชาชน ต่างก็ย้อนแย้งกับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังกระทำแทบทั้งสิ้น

“พล.อ.ประยุทธ์ ควรเลิกทำตัวเป็นผู้ชายช่างตัดพ้อ หรือกระทำในสิ่งที่ย้อนแย้งกับคำพูดของตัวเอง ที่พูดออกมาอย่างหนึ่ง แต่ในใจคิดดังๆ ออกมาให้คนดูได้ยินอีกอย่างหนึ่ง เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตัวเองดูดีแล้ว จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ผู้คนไม่ค่อยเชื่อมั่นในความสามารถของผู้นำอยู่ในขณะนี้”