“เพื่อไทย” เผยรัฐจ่อกู้เพิ่มอีก 5 แสนล้านโป๊ะงบฯ อัดจงใจใช้งบประมาณตามใจฉัน ผิดวินัยการเงินการคลัง

(19 ต.ค. 62) นายสงวน พงษ์มณี ส.ส. ลำพูน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การจัดทำงบประมาณปี 2563 ของรัฐบาล มีหลายประเด็นที่รัฐบาลไม่สามารถให้คำตอบกับสมาชิกสภาฯได้ พบว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมายวินัยการเงินการคลัง เพราะพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังกำหนดให้รัฐบาลใช้เงินงบประมาณอย่างระมัดระวัง และใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศและประชาชน

รัฐบาลบริหารงานผิดพลาดมาตลอด แต่กลับไม่ยอมรับว่า ไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ตัวเอง โดยเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 รัฐบาลมีการออกประกาศว่าด้วยวินัยการเงินการคลังฉบับใหม่ ที่มีการกำหนดสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีต้องไม่เกินสัดส่วนร้อยละ 10 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี นอกจากนี้กำหนดสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือจากที่กำหนดในกฎหมาย ร้อยละ 5 ของงบประมาณ ซึ่งนักวิชาการประจำสำนักงบประมาณชี้แจงว่าระเบียบดังกล่าวต้องมีการทบทวนในทุกๆ 3 ปี เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลัง

อย่างไรก็ตามรัฐบาลคงมีความต้องการกรอบวงเงินที่สูงขึ้นเพื่อสะดวกในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เพียง 11 เดือนจากประกาศฉบับแรก รัฐบาลมีการแก้ไขสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือจากที่กำหนดในกฎหมาย จากเดิมร้อยละ 5 ของงบประมาณ เป็นร้อยละ 8 โดยไม่มีเหตุผลรองรับ

การกำหนดเช่นนี้รัฐบาลสามารถขยายกรอบวงเงินกู้เพิ่มเติมจากวงเงินงบประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท ได้อีก 576,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องรับผิดชอบ การกระทำของรัฐบาลเป็นการจงใจทำผิดวินัยการเงินการคลังชัดเจน ถือว่าเป็นการสร้างภาระให้ประเทศ ทั้งนี้พรรคฝ่ายค้านมีการท้วงติงและสอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมทั้งนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการอภิปรายงบประมาณที่ผ่านมา แต่ไร้คำตอบจากรัฐบาลว่ามีเหตุผลอะไรถึงต้องดำเนินการเช่นนี้  ดังนั้น การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลผิดกฎหมายและผิดวินัยการเงินการคลังชัดเจน

“การกระทำของรัฐบาลจงใจทำผิดกฎหมายและไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และเป็นปัญหาที่รัฐบาลต่อไป รวมทั้งประชาชนต้องรับกรรมจากผลการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพ หวั่นใจว่าในอนาคตประเทศไทยคงเป็นประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ภาระตกกับประชาชนอย่างแน่นอน”