“เพื่อไทย” ชี้ จะปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จต้องกระจายอำนาจ ไม่ใช่ “สังคมอุดมแผน แต่ขาดแคลนผลสัมฤทธิ์”

(2 พ.ย. 62) นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มครูประท้วงในประเด็นโครงสร้าง ว่ามีความซ้ำซ้อนระหว่างอำนาจของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด และคัดค้านบางประเด็นในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาตินั้น พรรคเรียกร้องให้กระทรวงฯได้รับฟังข้อห่วงใยของกลุ่มครู เนื่องจากการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาจำต้องได้รับความร่วมมือจากครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยพรรคมี 4 ข้อเสนอ ดังนี้

1. ต้องยึดประโยชน์ของผู้เรียนเป็นที่ตั้ง ไม่ง่วนอยู่กับเรื่องโครงสร้างอำนาจ เป้าหมายการพัฒนาการศึกษาคือจะยกระดับคุณภาพการศึกษาของชาติให้ได้อย่างไร เพราะนี่คือโจทย์ใหญ่ของประเทศ

2. ต้องกระจายอำนาจทางการศึกษาโครงสร้างการทำงานของกระทรวงศึกษาต้องกระจายและไม่กระจุก และต้องลดสายบังคับบัญชาไม่ซ้ำซ้อน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดงบค่าตอบแทนลง แล้วเอาเงินที่เหลือไปใส่ให้นักเรียน

3. ต้องมีเป้าหมายยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ชัดเจน ก้าวข้าม “สังคมอุดมแผน แต่ขาดแคลนผลสัมฤทธิ์” ไทยมีแผนด้านการศึกษามากมาย แต่มีผลสัมฤทธิ์น้อย และถดถอยลง  เช่น มีแผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิรูปด้านการศึกษา แผนการศึกษาแห่งชาติ และกำลังจะเสนอร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ เข้าสภาฯอีก ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนคือจะทำให้คุณภาพการศึกษาไทยดีขึ้นอย่างไร โดยมีตัวชี้วัดและผลทดสอบ เช่น โอเน็ต PISA ทักษะภาษาอังกฤษ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เป็นต้น ไม่ใช่ดูจากจำนวนแผน

4. ควรมีตัวแทนครูนั่งในคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายการศึกษาฯในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติควรมีองค์ประกอบที่หลากหลาย ขอเสนอว่าควรให้มีผู้แทนครูและผู้ปกครองอยู่ด้วย เพื่อระดมความรู้และความเห็นในการผลักดันการพัฒนาการศึกษาร่วมกัน

“ผู้เกี่ยวข้องต้องลำดับความสำคัญของปัญหา ประเทศต้องการเห็นการยกระดับคุณภาพการศึกษา มากกว่าการง่วนอยู่กับประเด็นโครงสร้างอำนาจ เป้าหมายสำคัญคือตัวเด็ก และลูกหลานของเรา ทำอย่างไรพวกเขาจะมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาระดับโลกให้ได้”