“เพื่อไทย” ชี้ กดบัตรแทนหากผิดจริงตัดสิทธิ์ 20 ปี อัด “วิษณุ” ยิ่งพูดยิ่งทำลายความน่าเชื่อถือรัฐบาล
(24 ม.ค. 63) นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน เปิดเผยถึงกรณีที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ถึงกรณีการเสียบบัตรลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 แทนกันของสมาชิกพรรคภูมิใจไทย จนอาจทำให้การประกาศใช้ พ.ร.บ.งบฯ ล่าช้าออกไป ว่า กรณีนี้ขอให้แยกออกเป็น 2 เรื่อง คือ เคยมีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ใน 2 เรื่อง เรื่องแรกเมื่อปี 2556 อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2557 สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นประเด็นที่จะต้องนำไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยในอดีตไม่ได้เป็นบรรทัดฐาน 100% ต่อคดีในปัจจุบันทุกกรณี เว้นแต่ศาลจะมองว่าเป็นรูปแบบเดียวกัน เพราะบางเรื่องกฎหมายก็ต่างกัน
การให้ความเห็นทางกฎหมายของนายวิษณุเป็นการให้ความเห็นที่ขาดหลักเกณฑ์ทางกฎหมายรองรับ คนเป็นนักกฎหมายอย่าไปรับรองในเรื่องที่ยังไม่รู้จริง สิ่งที่ยังไม่เห็นจริง การพูดของนายวิษณุ ถือว่าเป็นการชี้นำ เพราะทุกครั้งที่นายวิษณุพูดการตัดสินขององค์กรอิสระมักจะออกมาในทิศทางเดียวกันกับที่นายวิษณุเคยให้ความเห็นไว้
ดังนั้นจึงมองว่าทุกวันนี้ประเทศไทยไม่มีกฎหมายแล้วหรือถึงเอาความของคนคนเดียวทำทุกอย่างได้ แบบนี้อาจส่งผลให้สังคมเกิดความปั่นป่วนได้ ทั้งนี้การให้ความเห็นของนายวิษณุทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลงไป ไม่เหลือความน่าเชื่อถือแล้ว ขอแนะนำให้นายวิษณุหยุดพูด ไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีใครเชื่อถือนายวิษณุอีกแล้ว
นายสมคิด กล่าวด้วยว่า คนอย่างนายวิษณุ ดีกรีระดับศาสตราจารย์ไม่รู้จะบอกอย่างไร นายวิษณุคงสับสนเพราะต้องช่วยเหลือรัฐบาลจนไม่สนใจหลักกฎหมายแล้ว ส่งผลให้ทุกอย่างเพี้ยนไปหมด มาอ้างคนละกรณีกับสมัยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยมีการกล่าวหามีการเสียบบัตรแทนกัน และนำไปสู่การพิจารณาคดีในศาลรัฐธรรมนูญจนพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินว่ากระบวนการในการออกพระราชบัญญัติไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ก็ไม่ต่างกันเพราะไม่ว่าจะกรณีไหนหากพบความผิดก็ต้องตรวจสอบ ต้องมีการสอบสวน กรณีพรรคเพื่อไทยถูกฟ้อง 4 คน ยกฟ้องไป 3 คน ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการนี้หมดไม่เข้าใจว่านายวิษณุไปแอ่นอกรับผิดชอบทำไม
“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นกรณีเดียวกัน ข้อกฎหมายเดียวกัน และในรัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่าการกระทำของ ส.ส. พรรค จะส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคมีความผิดเช่นเดียวกัน หากสอบแล้วพบว่ามีความผิดจริงกรรมการบริหารพรรคการเมืองต้องรับโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี เพราะกดบัตรแทนกันไม่ว่ากรณีไหนก็คือความผิดเช่นเดียวกันไม่มีข้อยกเว้น” นายสมคิด กล่าว