“จิราพร” อัด “ประยุทธ์” ไร้ความสามารถ บริหารเศรษฐกิจล้มเหลว หาเงินเข้าประเทศไม่เป็น

(25 ก.พ. 63) น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าจีดีพีของไทยนั้นพึ่งพาการส่งออกถึง 70% ดังนั้นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นได้ คือ การค้าระหว่างประเทศ ดังนั้นผู้นำที่จะมากำหนดนโยบาย ดูแลรักษารายได้ 70% นี้ จึงมีความสำคัญ แต่หากผู้นำไร้ความสามารถ ไร้วิสัยทัศน์ ก็จะไม่สามารถกำหนดและกำกับนโยบายการค้าและการเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก จนทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและกระทบต่อรายได้หลักของประเทศอย่างมหาศาล

น.ส.จิราพร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ พยายามอ้างว่าเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ ด้วยการนำจีดีพีของไทยไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่น แต่ความจริงเราจะเอาจีดีพีของไทยไปเทียบกับสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เยอรมัน สหรัฐฯ ไม่ได้ เพราะว่าประเทศเหล่านี้ที่มีการเติบโตต่ำ เป็นเพราะขนาดเศรษฐกิจของเขามีขนาดใหญ่ หากเขาโต 1% เท่ากับเราโต 6-8% ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องไปเรียนเพิ่มว่าจีดีพีไม่ได้เป็นมาตรวัดที่ดีที่สุด แต่เราต้องวัดด้วยอัตราการบริโภคต่อหัว ต้องวัดด้วยสวัสดิการของประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเอาความสุขของคนไทยไปเทียบกับความสุขของประชาชนในประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ได้

“วิธีการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีเปลี่ยนหัวหน้าเศรษฐกิจหลายครั้ง แต่ปรากฏว่าตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยก็เจ๊งไม่เป็นท่า ซึ่งประชาชนทั้งประเทศบอกว่าเศรษฐกิจแย่ แต่มีแค่ พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียวที่บอกว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้น แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือประเทศไทยไม่มีคนมานำเศรษฐกิจของประเทศ จนต้องนำ พล.อ.ประยุทธ์ อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวตนก็ไม่อาจไว้วางใจได้แล้ว ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวในการกำหนดนโยบาย และไม่สามารถสร้างทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็งได้ เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการต่อรองอย่างหนักของหลายกลุ่มหลายฝ่าย เวลาทำงานไม่สอดประสานกัน และตัวนายกรัฐมนตรีเองก็ขาดความรู้ความสามารถ แม้แต่ความรู้พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจก็ไม่มี จึงไม่สามารถกำกับดูแลการทำงานของลูกทีมได้ ดังนั้นการกำหนดนโยบายและการบริหารเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศของรัฐบาลจึงไร้ทิศทางที่ชัดเจน ส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศล้มเหลว เห็นได้ชัดที่สุดคือการค้าของไทยกับประเทศต่างๆที่ไม่เป็นไปตามเป้า โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน”

น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวในเรื่องของการเจรจา เช่น ความล้มเหลวในการเจรจาให้เวียดนามยกเลิกมาตรการนำเข้ารถยนต์ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการส่งออกรถยนต์ของไทยไปเวียดนาม และช่วงการเป็นประธานอาเซียนในปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็ล้มเหลวในการผลักดันให้เวียดนามลงนามในความตกลงร่วมกันของอาเซียนที่เรียกว่า อาเซียน MRA ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ และยังล้มเหลวในการเจรจากับอินโดนีเซีย เพื่อยกเลิกมาตรการนำเข้าพืชสวนจึงไม่สามารถปลดล็อคให้ลำไยและหอมแดงของไทยส่งไปอินโดนีเซียได้สะดวก ทำให้ราคาลำไยตกต่ำอย่างต่อเนื่อง สร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรทั่วประเทศกว่า 50,000 ครัวเรือน รวมถึงรัฐบาลยังล้มเหลวในการเจรจาเรื่องข้าวกับเกาหลี ทำให้ไทยเสียเปรียบได้โควตาข้าวน้อยกว่าประเทศคู่แข่งที่สำคัญ ทั้งจีน สหรัฐฯ และเวียดนาม นอกจากนี้รัฐบาลยังล้มเหลวในการเจรจาความตกลงระหว่างประเทศที่เรียกว่าอาร์เซป ซึ่งเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทย เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ขาดภาวะการเป็นผู้นำจึงไม่สามารถโน้มน้าวให้อินเดียเข้าร่วมอาร์เซปได้ ทำให้ไทยสูญเสียโอกาสเข้าถึงตลาดสำคัญที่มีจีดีพีสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก และสูญเสียโอกาสที่จะเข้าถึงประชากรอินเดียที่มีกว่า 1,300 ล้านคน ทั้งนี้ประเทศเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประเทศที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญ มีการเยือนหลายครั้งทั้งในระดับนายกรัฐมนตรีและผู้แทนระดับสูงของรัฐบาล ใช้งบประมาณในการเดินทางเยือนต่างประเทศไปหลายร้อยล้านบาท แต่เศรษฐกิจไทยก็ไม่ดีขึ้น นั่นเป็นเพราะไม่รู้จักวิธีเจรจาเพื่อหารายได้เข้าประเทศ แต่สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ในการหารายได้เข้าสู่ประเทศ คือ ขณะที่ประชาชนวิตกกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคาม เช่น เรื่องของไวรัสโคโรนา ซึ่งไวรัสนี้แพร่ระบาดไปหลายประเทศ แต่ปรากฏมีเพียงประเทศไทยประเทศเดียวที่ขายหน้ากากอนามัยให้กับประชาชน แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะยื่นมือไปช่วยเหลือให้กำลังใจประชาชนกลับมาหารายได้ด้วยการขายหน้ากากที่ทำเนียบรัฐบาล ในขณะที่เจ้าหน้าที่ขายหน้ากากที่หน้าทำเนียบรัฐบาล แต่ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งขายหน้าอยู่ในทำเนียบฯ ไม่มีรัฐบาลประเทศไหนเขาทำแบบนี้ นี่ตั้งแต่มีการขายหน้ากากมา พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เคยออกมาแถลงเลยว่าทำรายได้ให้ประเทศไทยเท่าไหร่

น.ส.จิราพร กล่าวย้ำว่า ไม่เพียงแค่การเจรจากับประเทศในเอเชียและอาเซียนล้มเหลวแล้ว รัฐบาลยังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯล้มเหลวอีกด้วย ที่ไม่สามารถรักษาสิทธิพิเศษทางการภาษีศุลกากรที่เรียกว่า GSP ได้ หลังจากสหรัฐฯประกาศตัดสิทธิที่เคยให้กับประเทศไทยไป นายกรัฐมนตรีได้ให้โฆษกรัฐบาลออกมาแถลงว่ารัฐบาลเพิ่งทราบเรื่องที่สหรัฐฯจะตัดสิทธิ GSP เมื่อไม่นาน แต่ความจริงคือ พล.อ.ประยุทธ์ ทราบเรื่องที่สหรัฐฯจะตัดสิทธินี้มานานแล้วตั้งแต่หลังการทำรัฐประหารในปี 2557 และได้รายงานมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยต้องการปกปิดความจริงที่เกิดขึ้นและไม่สามารถที่จะเจรจาแก้ไขปัญหาได้ จึงอ้างกับประชาชนว่าเพิ่งทราบเมื่อไม่นานมานี้ การที่สหรัฐฯเริ่มพิจารณาตัดสิทธิ GSP ไทยในเดือนตุลาคม 2557 ภายหลังการยึดอำนาจเพียง 5 เดือน จากนั้นกลุ่มสหภาพยุโยปก็ทยอยตัด และเมื่อ 2562 ญี่ปุ่นและสหรัฐฯประกาศตัดอย่างเป็นทางการ จะเห็นว่าการรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ประเทศไทยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง กลายเป็นจุดอ่อนไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก ถูกประเทศคู่ค้าที่เป็นประชาธิปไตยรุกอย่างหนัก ทำให้ไทยขาดเครดิตเสียเปรียบในการเจรจา ทำให้การเจรจาล้มเหลว ผิดพลาดทำให้มีความเสียหายเกิดขึ้นมีมูลค่านับหมื่นล้านบาท