ศูนย์ร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 พรรคเพื่อไทย ห่วงมาตรการค้นหาผู้ป่วยไม่เข้มข้น ส่อทำให้มีการติดเชื้อภายในบ้านมากขึ้น

9 เมษายน 2563 นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ประธานศูนย์ร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์และมาตรการต่างๆในการควบคุมโรคของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ถึงวันที่ 7 เมษายน 2563 พบว่า ประเทศไทยยังมีการตรวจหาเชื้ออยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือ เยอรมนี โดยใช้รายงานที่เป็นทางการของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน โดยกรมควบคุมโรค และรายงานของ www.worldometers.info  ซึ่งอ้างอิงจากเว็บไซต์ของ กรมควบคุมโรค เมื่อ 1 เมษายน 2563 ประเทศไทยมีผลการตรวจเชื้อ 26 ต่อประชากร 100,000 คน แต่ต่อมา มีการอ้างอิงข้อมูลการตรวจจาก สปสช. และรายงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการวิจัยและวิชาการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ประเทศไทยมีผลการตรวจ 71,860 ตัวอย่าง คิดเป็น 1,079 ต่อล้านประชากร จะเห็นได้ว่า ระบบรายงานผลการตรวจ มีข้อมูลส่วนใหญ่ไม่ถูกนำมารายงาน อย่างเป็นทางการ

ในการรายงานสถานการณ์ จากศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2563 พบว่าตั้งแต่ 5 เมษายน 2563 ได้มีการแก้ไขรูปแบบของการนำเสนอข้อมูล โดยมีการตัดข้อมูลตัวเลขผลการตรวจผู้ป่วยที่มีอาการตามนิยามเฝ้าระวังที่เหลือ จำนวนผู้ป่วยตรวจไม่พบเชื้อ และผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างรอผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการออก ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญ ต่อการควบคุมโรค แต่ไม่ทราบว่าการไม่รายงานข้อมูลดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร

นอกจากนี้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การตรวจโรคโควิด-19 ใหม่ โดยให้ตรวจฟรี แต่หากไม่เข้าเกณฑ์ สปสช. จะไม่สนับสนุนค่าตรวจ ซึ่งบังคับใช้ทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน โดยห้ามโรงพยาบาลเก็บค่าตรวจ ทั้งนี้ เกณฑ์ใหม่ที่กำหนด มีการจำกัดการตรวจมากขึ้น ต้องมีประวัติเสี่ยง ต้องมีไข้ ร่วมกับมี อาการอย่างอื่นร่วมด้วย อาทิ มีอาการปอดอักเสบ เกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้มีการตรวจน้อยลง และไม่ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากปัจจุบัน มีผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยถึงร้อยละ 85 และจากรายงานการติดเชื้อผู้ป่วยโควิด-19 ในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ตั้งแต่เดือนมกราคม – 4 เมษายน 2563 พบว่า มีการติดเชื้อจากภายในบ้านถึงร้อยละ 35 ในกรุงเทพมหานคร และร้อยละ 49 ในต่างจังหวัด หากยังคงไม่มีมาตรการค้นหาผู้ป่วยด้วยการตรวจอย่างเข้มข้น คนกลุ่มนี้จะไม่ได้รับการตรวจ และพร้อมจะแพร่เชื้อได้ตลอดเวลา

ศูนย์ร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 พรรคเพื่อไทย ยังยืนยันมาตรการ 21 วันสยบโควิด ที่ได้นำเสนอไปแล้ว คือ ต้องเร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อให้มากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อจะต้องได้รับการตรวจทั้งหมดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศูนย์ร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 พรรคเพื่อไทย จึงมีข้อเสนอเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

1) พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ใหม่ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจมากขึ้น กลุ่มที่มีประวัติเสี่ยงทุกคนต้องได้รับการตรวจ โดยไม่ต้องรอให้มีอาการ กำหนดเพิ่มอาการให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น สูญเสียการรับกลิ่น (Anosmia) ทั้งนี้ เกณฑ์การตรวจต้องเป็นมาตรฐานเดียว ไม่เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา เพื่อสะดวกต่อการแปรผล และนำข้อมูลไปใช้

2) ควรเน้นการตรวจและรายงานผลเฉพาะพื้นที่ เฉพาะจังหวัด เพื่อกำหนดเป้าหมายควบคุมโรคให้จบเป็นรายจังหวัด

3) ระบบรายงานต้อง รายงานการตรวจเชื้อ ครอบคลุมทุกสถานบริการ ทั้งประเทศ กรณีมีการตรวจโดยสมัครใจเสียค่าใช้จ่าย ต้องมีการรายงานด้วย

4) ควรนำ Rapid Screening Test การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Ab) มาใช้เพื่อความสะดวกเร็ว เข้าถึงได้ง่าย ประหยัดงบประมาณ

เพื่อให้การควบคุมโรคระบาดโควิด-19 สยบอย่างรวดเร็ว ทุกจังหวัดสามารถเปิดเมือง กลับคืนสู่ภาวะปกติได้เร็ว รัฐบาล และศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จึงควรนำข้อเสนอนี้ไปพิจารณา