ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ย้ำ รัฐบาล ทดลองปรับงบฯ ปี 63 เยียวยาประชาชนก่อน อย่ารีบกู้ตั้งแต่บาทแรก
18 เมษายน 2563 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งปิดกิจการและบริการต่างๆ ว่า หากรัฐบาลออกมาตรการล่าช้าจะดึงให้ภาคธุรกิจล้มตามกันทั้งระบบ ดังนั้นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเรียกร้องคือมาตรการเยียวยา โดยเฉพาะเริ่มจากการตัดงบประมาณปี 2563 จำนวน 3.3 ล้านล้านบาท ในส่วนที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน ประมาณ 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้ได้งบฯ ในส่วนนี้ประมาณ 3 แสนล้านถึง 5 แสนล้านบาท เพื่อมาเยียวยาประชาชนประมาณ 20 ล้านคน หรือเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน โดยจะใช้เงินราว 3 แสนล้านบาท ในส่วนของภาคการเกษตร ซึ่งประสบปัญหามาตั้งแต่ภัยแล้งกว่าครึ่งปีและต้องมาเผชิญกับโรคระบาด ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3 ล้านครัวเรือน ควรเยียวยาครัวเรือนละ 35,000 บาท จะใช้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลอย่าอ้างว่าไม่มีงบประมาณ หากไม่ทดลองตัดงบประมาณปี 2563 ซึ่งที่ผ่านมามีแต่คำพูด
“เงินอย่าเพิ่งกู้ตั้งแต่บาทแรก และอยากฟังคำตอบจากนายกรัฐมนตรีว่า เงินของปี 2563 สามารถตัดได้เท่าไร มีอุปสรรคหรือไม่ การกู้เงิน จะต้องนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเอสเอ็มอีและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะในชุมชนในชนบทให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ใหม่”
นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องวางแผนเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาทำมาหากินและใช้ชีวิตได้ และไม่เห็นความจำเป็นของการต่ออายุพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ควรเตรียมการ ReOpening เพื่อให้คนกลับมาทำมาหากินได้ในบางอาชีพ ในบางธุรกิจ อย่างมีเงื่อนไขและมีข้อจำกัดทางสาธารณสุข ดังนั้นควรเร่งออกข้อบังคับเพื่อให้ภาคธุรกิจ ภาคบริการได้รับทราบว่าหากจะเปิดกิจการได้ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดใดบ้าง ซึ่งทั้งหมดสามารถบริหารจัดการได้ภายใต้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ จากนั้นประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเพื่อให้ประชาชนให้ความร่วมมือ และหากธุรกิจใดไม่ให้ความร่วมมือ ก็สามารถสั่งปิดหรือปรับได้ตามความเหมาะสม
สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรี เตรียมเขียนจดหมายเปิดผนึกถึง 20 กลุ่มมหาเศรษฐีของไทย เพื่อเชิญเข้าร่วมทีมไทยแลนด์นั้นสังคมได้วิพากษ์วิจารณ์แล้วอย่างกว้างขวาง เพราะอาจนำไปสู่ข้อครหาว่าเอื้อประโยชน์หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือ ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ไปตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นการช่วยเจ้าสัวไปก่อนแล้วหรือไม่ และยังเป็นการช่วยที่ไม่ยืดเยื้อเหมือนกับการช่วยเหลือคนจน เพราะฉะนั้นการที่มาขอความร่วมมือจากเจ้าสัว ท้ายที่สุดจะมีอะไรแลกเปลี่ยนหรือไม่ อย่างที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าสัวบางรายก็ได้ช่วยเหลือไปแล้ว ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นควรตั้งกองทุน มาอุ้มตราสารหนี้อีก 4 แสนล้านบาท จะกลายเป็นข้อครหาและข้อสงสัยในปัจจุบันจนถึงอนาคต