คำแถลงพรรคเพื่อไทย เรื่อง 4 ปีที่ล้มเหลวของรัฐบาล และ คสช.นำประเทศไปสู่ความมืดมนและอันตราย


คำแถลงพรรคเพื่อไทย

เรื่อง 4 ปีที่ล้มเหลวของรัฐบาล และ คสช.นำประเทศไปสู่ความมืดมนและอันตราย

วันที่ 22 พฤษภาคม 2561 จะเป็นวันครบรอบ 4 ปี
ของการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็นหัวหน้าและยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในขณะเดียวกัน

คสช.ได้ให้เหตุผลในการยึดอำนาจตามประกาศฉบับที่ 1/2557 ว่า ต้องการให้สถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
ให้ประชาชนเกิดความรัก ความสามัคคี ให้มีการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ
สังคมและอื่นๆ ให้เกิดความชอบธรรมกับทุกพวกทุกฝ่าย พร้อมกับสัญญาว่าจะใช้อำนาจเผด็จการไม่นาน
และต่อมาก็ประกาศว่าจะปราบปรามและแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นอย่างจริงจังโดยไม่เลือกปฏิบัติ
พรรคเพื่อไทยเห็นว่า 4 ปี ของการรัฐประหารเป็น 4 ปีแห่งความล้มเหลวที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ
ได้ ทำให้ประชาชนและประเทศต้องสูญเสียโอกาส และจะนำประเทศไปสู่ความมืดมน และอันตราย

1.  ความล้มเหลวในการทำตามข้ออ้างในการยึดอำนาจ

  พลเอกประยุทธ์
ฯ แถลงเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 ว่าจะมุ่งสร้างความปรองดอง  ในสามเดือน แต่ไม่เห็นความจริงใจในการสร้างความสามัคคีปรองดอง
ความขัดแย้งแตกแยกทางความคิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายยังคงมีอยู่ โดย คสช. ลงมาเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง
การคืนความเป็นธรรม ให้ความชอบธรรมกับทุกฝ่ายไม่เกิดขึ้น
กลับมีแนวโน้มที่จะทำให้เงียบหายไป

  ประกาศว่าจะทำให้ประเทศกลับคืนสู่ประชาธิปไตยใน
15 เดือน แต่ครบ 4 ปีแล้ว ประชาธิปไตยยังไม่เกิดขึ้น หาเหตุเลื่อนการเลือกตั้งมาโดยตลอดหลายครั้งหลายหน

  ประกาศว่าจะปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง  แต่กลับมีรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบที่ถอยหลังประชาธิปไตยไปไกล
ทำลายพรรคการเมือง ห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม ละเมิดสิทธิเสรีภาพทางการเมือง
ประชาชนไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองใดๆ เลย

  ประกาศว่าจะปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม
แต่กลับทำให้คนในสังคมมีความเป็นอยู่ที่ลำบากยากจนขึ้น กำลังซื้อหดหาย
ปัญหาสังคมที่รุนแรงมากขึ้น

  การปฏิรูปด้านอื่นๆ
ก็ยังไม่มีผลเป็นรูปธรรมแม้แต่เรื่องเดียว
ทั้งที่ต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปจำนวนมหาศาล

2.  ล้มเหลวในการสร้างความปรองดอง

  คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นขาดความเป็นอิสระมีแต่คนในรัฐบาล
ข้าราชการในกองทัพ และข้าราชการอื่นๆ
ไม่มีองค์ประกอบในส่วนของภาคประชาชน และองค์กรภาคเอกชนเข้าร่วม แนวทางการสร้างความปรองดองถูกควบคุมและเห็นชอบโดยหัวหน้า
คสช. กระบวนการสร้างความปรองดองไม่เป็นไปตามหลักการสากล
ขาดการยอมรับจากภาคส่วนของสังคม
ไม่ศึกษาสาเหตุแห่งความขัดแย้งที่แท้จริง และไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
ที่หัวหน้า คสช. และคนใน คสช. เป็นส่วนหนึ่งของคู่ขัดแย้งในอดีต และมาเป็นคู่ขัดแย้งในปัจจุบัน

สัญญาประชาคมที่ทำขึ้นเป็นลักษณะสัญญาฝ่ายเดียวของ คสช.
จึงไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม

3.  ล้มเหลวในการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น

  การปราบปรามการทุจริต
คอรัปชั่น ถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาติ เพียงเพื่อสร้างภาพ คสช.
แต่งตั้งกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ แต่ไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม ไม่มีการประชุมมาแล้วถึง
8 เดือน ปัญหาคอรัปชั่น กลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาล
และ คสช. ที่จะใช้จัดการฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อคนในรัฐบาลถูกกล่าวหาเรื่องทุจริต
เช่น
กรณีอุทยานราชภักดิ์ กรณีองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ตั้งบริษัทในค่ายทหาร
นำเงินราชการลับไปใส่ในบัญชีภรรยา แม้แต่กรณีนาฬิกาหรู ขนาดรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลยังให้สัมภาษณ์ว่า
หากตนเองถูกเปิดโปงเพียงเรือนแรก ก็จะลาออกไปแล้
แต่กลับมีการปกป้องพวกพ้องอย่างเห็นได้ชัด
ละเลยที่จะดำเนินการ
ขณะที่ผู้ร้องเรียนถูกเรียกไปปรับทัศนคติ
บางคนถูกดำเนินคดี ส่วนองค์กรตรวจสอบต่างๆ ก็มุ่งช่วยเหลือปกปิด หรือทำให้ล่าช้า
และสุดท้ายก็เงียบหายไป องค์กรตรวจสอบต่างๆ เช่น ป.ป.ช. และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้รับการต่ออายุให้อยู่ครบวาระ
และเลยวาระ ทั้งที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
ขณะที่บางองค์กรกลับให้สิ้นสุดลง
  4 ปีที่ไม่มีนักการเมืองกลับพบการทุจริตอย่างกว้างขวาง
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเกี่ยวกับดัชนีสถานการณ์คอรัปชั่นไทย (
CSI) เดือนธันวาคม 2560 พบว่า สถานการณ์คอรัปชั่นเพิ่มมากขึ้น
ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์ปัญหาคอรัปชั่นของประเทศไทย (CPI)
ที่จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ปรับตัวในทิศทางตกต่ำลง
เมื่อเทียบกับห้วงเวลาก่อนการรัฐประหาร

4.  ล้มเหลวในการทำให้บ้านเมืองมีประชาธิปไตย

  นับแต่รัฐประหาร เป็นต้นมา ประเทศต้องอยู่ภายใต้ประกาศและคำสั่ง คสช. ที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนมาจนถึงปัจจุบัน
การแสดงออกทางความคิดเห็นถูกปิดกั้น ได้รัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบที่ถอยหลังประชาธิปไตยไปอย่างมาก
วางกลไกที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
ทั้งให้นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอก ซึ่งประชาชนไม่ได้เลือกเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งเป็นแบบจัดสรรปันส่วนผสม
ซึ่งไม่มีประเทศใดเคยใช้มาก่อน วางกลไกเพื่อสืบทอดอำนาจโดยในวาระเริ่มแรกให้อำนาจ
คสช. เลือกผู้สมควรได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 244 คน
ให้วุฒิสภามีอำนาจออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. การคงอำนาจของ คสช.
และหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ไว้เพื่อให้หัวหน้า
คสช. มีอำนาจพิเศษเหนือองค์กรอื่นๆ ตามรัฐธรรมนูญ
แม้กฎหมายพรรคการเมืองจะประกาศใช้มาแล้วตั้งแต่วันที่
8 ตุลาคม 2560 แต่จนถึงปัจจุบัน คสช.
ก็ยังคงคำสั่งห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรมการเมืองตามกฎหมายดังกล่าว ซ้ำร้ายยังออกคำสั่ง คสช.รีเซ็ตสมาชิกพรรค และยุบสาขาพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้วทั้งหมด

การกำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติเพื่อใช้บังคับเป็นเวลาถึง 20 ปี
เป็นการพันธนาการประเทศและประชาชนไว้กับแนวคิดของ คสช.
โดยที่ประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศ ขาดการมีส่วนร่วมในการดำเนินการดังกล่าว การรัฐประหารอันถือเป็นความผิดต่อกฎหมายอย่างร้ายแรง
คสช. กลับกำหนดในรัฐธรรมนูญ  ให้นิรโทษกรรมตนเองและพวกพ้อง
กำหนดให้การกระทำของตนและพวกทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและชอบด้วยกฎหมาย

5.  ล้มเหลวในการปกป้องสิทธิมนุษยชน

  นับแต่รัฐประหารมาจนถึงปัจจุบัน
การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังมีอย่างต่อเนื่อง การออกคำสั่งให้อำนาจทหารควบคุมตัวบุคคลได้
7 วัน โดยไม่ต้องตั้งข้อหาและไม่ต้องมีหมายของศาล
เรียกบุคคลที่เห็นต่างและวิพากษ์วิจารณ์
ไปปรับทัศนคติ ดำเนินคดีกับบุคคลที่เรียกร้องให้ตรวจสอบการทุจริต
หรือเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง มีคำสั่งให้พลเรือนขึ้นศาลทหาร จำกัดและริดรอนสิทธิ
เสรีภาพในการเสนอข่าวของสื่อมวลชน ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทางเฟสบุ๊คของบุคคล

เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
นักวิชาการ และสื่อมวลชนในการออกเสียงประชามติรัฐธรรมนูญ ใช้กฎหมายและคำสั่งที่ตนเองออกใช้บังคับเพื่อเป็นเครื่องมือในทางการเมือง
แม้รัฐธรรมนูญจะมีผลใช้บังคับแล้ว ประชาชนก็ยังไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองตามที่รัฐธรรมนูญรับรองและคุ้มครองไว้ได้
ทั้งนี้ เหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าวข้างต้น ปรากฏตามรายงานประจำปี
2560/61 ของ
AMNESTY INTERNATIONAL

  6.  ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

  การบริหารประเทศด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัด
และมีแนวโน้มที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางการคลังของประเทศในระยะยาว รัฐทุ่มเทงบประมาณอย่างไม่เหมาะสมเป็นเงินจำนวนมหาศาล
จนทำให้เกิดภาวะงบประมาณขาดดุลที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอันมากตลอด 4 ปีงบประมาณ
นับเป็นการใช้เงินเกินตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ในปีงบประมาณ 2561
รัฐบาล คสช. ใช้เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีเดียว เท่ากับยอดเงินฯ
ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยถึง 2 ปีงบประมาณ คือ ปี 2556 รวมกับปี 2557

  รัฐบาล คสช.
มีแนวโน้มใช้เงินเกินตัวมากขึ้นทุกๆ ปี อย่างก้าวกระโดดจนน่าตกใจ
ซึ่งต่างจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่สามารถบริหารให้การขาดดุลงบประมาณลดลงทุกปีอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา
3 ปีที่เป็นรัฐบาล หากรัฐบาล คสช.ปล่อยให้แนวโน้มการใช้จ่ายเช่นนี้ดำเนินต่อไป
วินัยทางการคลังของประเทศย่อมได้รับความกระทบกระเทือน

  ถึงแม้รัฐบาล
คสช. จะใช้เงินงบประมาณจำนวนมหาศาล
แต่ผลที่ได้ต่อระบบเศรษฐกิจกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจไทยในยุค คสช.
เติบโตในอัตราที่ต่ำมากอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นประเทศที่อยู่ในอันดับท้ายๆ ในอาเซียนในแง่ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
สร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยทั่วไป

  ด้วยแนวคิด ทัศนะ
และนโยบายของรัฐที่ส่งผลให้ธุรกิจขนาดใหญ่มีอำนาจผูกขาดทางการตลาดของสินค้า
เอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใหญ่ ทำให้ประเทศตกอยู่ในสภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย” ประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ
กำลังซื้อภาคประชาชนลดลง ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
ผู้มีรายได้น้อยถูกทิ้งขว้างตามยถากรรม
เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

  ปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ได้รับการแก้ไข
เงินที่รัฐบาลใส่ลงในระบบไม่เกิดการใช้จ่าย
เพราะประชาชนไม่เชื่อมั่นในรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

  7. ล้มเหลวในภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า
คสช.

    รับปากต่อประชาชนว่าจะเข้ามาชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหา
และจะอยู่ไม่นาน แต่กลับอยู่ยาวถึง 4 ปี และมีแนวโน้มจะมุ่งสืบทอดอำนาจต่อไป เมื่อเข้ามายกตนว่าเป็นคนดี
ด่าว่า และกล่าวร้ายนักการเมือง และปฏิเสธว่าตนไม่ใช่นักการเมือง
แต่สุดท้ายมายอมรับว่าตนเป็นนักการเมือง และยังไปชักชวนนักการเมืองมาร่วมรัฐบาล
เพื่อพยุงอำนาจและสืบทอดอำนาจต่อไป ประกาศว่าจะคืนประชาธิปไตยใน 15 เดือน
แต่ผ่านมา 48 เดือน ประชาธิปไตยยังมืดมน ทั้งๆ ที่ได้ประกาศต่อสาธารณชน และรับปากต่อผู้นำประเทศและผู้นำองค์กรระหว่างประเทศว่า
จะมีการเลือกตั้งเมื่อนั้นเมื่อนี้ แต่สุดท้ายก็เลื่อนการเลือกตั้งมาแล้วถึง 4
ครั้ง การกระทำและพฤติการณ์ส่อว่าได้เสพติดอำนาจ และวางกลไกเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป เริ่มตั้งแต่การวางกลไกในรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี
และที่มาและอำนาจของ ส.ว. การทุ่มเทงบประมาณเพื่อนโยบายต่างๆ
ที่มีลักษณะหวังผลทางการเมือง ล่าสุดมีการดูดนักการเมืองจากค่ายต่างๆ เพื่อมาร่วมงานกับตนเอง
อันแตกต่างจากการประกาศครั้งแรก เมื่อเข้ามายึดอำนาจ

  โดยสรุปสิ่งที่
คสช. และหัวหน้า คสช.ทำในช่วง
4 ปี คือ
การใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด
การทำทุกวิถีทางเพื่อการสืบทอดอำนาจ คสช.ต้องการสร้างรัฐเผด็จการโดยใช้ระบบราชการเป็นกลไก
ทำให้กลไกภาคประชาชนและพรรคการเมืองอ่อนแอ ใช้กลไกทางรัฐธรรมนูญ กฎหมาย
และการแต่งตั้งคนในองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ เพื่อปกป้องและเอื้อต่อตนเอง

  ดังนั้น
4 ปีของ คสช. คือ การนำประเทศไปสู่อนาคตที่มืดมน และอันตราย
ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยถูกมองเป็นเพียงบ่าว ทั้งๆ ที่พวกเขาคือนาย เพราะเป็นผู้เลือกส.ส.และรัฐบาล
จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนต้องช่วยกันนำระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขกลับคืนมา  พร้อมด้วยหลักนิติธรรม ความเสมอภาค
ความเป็นธรรม ฯลฯ และไม่ยอมให้เผด็จการทำลายประชาธิปไตยอีกต่อไป
เพื่ออนาคตที่สดใสและเกิดความรัก ความสามัคคี ความเมตตา ปรารถนาดีระหว่างประชาชน อย่างแท้จริง

  จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

  พรรคเพื่อไทย
     17 พฤษภาคม  2561