ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : เพียงเราช่วยกันกู้ ระเบิดแห่งอคติ ออกจากหัวใจกันเสียก่อน

เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สมาชิกพรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่มนปช. โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาถึงเหตุการณ์คนร้ายวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ มีใจความดังนี้

“หลังเหตุระเบิดที่ราชประสงค์

นอกจากบรรยากาศแห่งความโศกเศร้าจากการสูญเสีย และการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการล่าตัวคนร้ายพร้อมๆกับความงามแห่งน้ำใจของคนไทยและมิตรประเทศทั้งหลายที่แสดงความห่วงใยสถานการณ์

กลับปรากฏภาพสะท้อนหนึ่งซึ่งสัมผัสได้ชัดเจนคือกว่า 1 ปีหลังรัฐประหารความขัดแย้งระหว่างคนแต่ละฝ่ายในสังคมไทยไม่ได้ลดลง และดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้นอีกครั้งจากความพยายามทำให้บางฝ่ายเป็นผู้ก่อเหตุร้าย

ไม่เจตนาฟื้นฝอยหาเรื่อง แต่โดยหลักการรัฐบาลในฐานะผู้รับผิดชอบต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการสื่อสารกับสังคมตั้งแต่ต้นเพราะเรื่องนี้ละเอียดอ่อน สังคมที่ขัดแย้งลงลึกมากขึ้นตลอดเวลา 10 ปีเปราะบางจนพร้อมจะเชื่อสิ่งที่ตรงกับความรู้สึกตัวเองทันทีว่าอีกฝ่ายคือผู้ร้าย

เมื่อรัฐเริ่มต้นด้วยการพาดพิงจึงเกิดการสร้างประเด็นเชื่อมโยงมากมายเพื่อสนองตอบความเชื่อของฝ่ายตน
ทั้งที่เรื่องแบบนี้ถ้าตั้งธงแต่ต้นโดยไม่สนใจหลักฐานว่าใครคือคนผิด การลากโยงแผนที่ความคิดคนให้เอนคล้อยไปตามนั้นหากจะทำกันจริงๆเชื่อว่าทุกฝ่ายทำได้ เช่น ถ้าบอกว่าผู้ลงมือคือกลุ่มผู้เสียประโยชน์ทางการเมือง ถามว่าวันนี้มีผู้เสียประโยชน์กลุ่มเดียวหรือ?

ถ้าพวกถูกยึดอำนาจเสียประโยชน์ แล้วการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญในฝ่ายความมั่นคงมีคนเสียประโยชน์ไหม?

การปรับครม.มีคนไม่พอใจหรือเปล่า?

หรือกระทั่งการเพิ่มพูนอำนาจบารมีของกลุ่มปัจจุบันส่งผลกระทบอย่างไรกับบางกลุ่มที่เคยมากด้วยพลานุภาพทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม มีใครเสียประโยชน์หรือไม่ อย่างไร?

ถ้าตั้งป้อมสร้างข่าวโจมตีกันอย่างนี้ ประเทศไทยจะได้อะไร?
เพราะเอาเข้าจริงๆ คนไทยทั้งประเทศยังไม่รู้เลยว่าเรากำลังเจอกับอะไรอยู่
หากเป็นกลุ่มคนในประเทศต้องเร่งจับกุมให้ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องก่อการร้ายข้ามชาติหรือเหตุสืบเนื่องจากอุยกูร์ก็ไม่แน่ว่ารัฐบาลจะบอกความจริงทั้งหมด เพราะเท่ากับต้องแบกความรับผิดชอบไปเต็มๆ จากการดำเนินการบางเรื่อง

ในสภาพอย่างนี้สติและความสามัคคีจำเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือภัยคุกคามของคนไทยทุกคน เดินกลางสะพาน เดินบนถนน ไม่ว่าสีใดพวกไหนมีสิทธิ์เป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้เท่าๆ กัน
ผมคิดว่าการกล่าวหากันไปมาไม่เป็นประโยชน์ รัฐบาลควรเป็นหลักเรื่องนี้โดยไม่ชี้นำสังคมไปทางหนึ่งทางใดโดยไร้หลักฐาน ฝ่ายข้อมูลของรัฐต้องเข้าถึงและเท่าทันสถานการณ์ ตรงไหนให้ข้อเท็จจริงป้องกันความขัดแย้งได้อย่าปล่อยผ่าน ต้องทำอย่างตรงไปตรงมาไม่แบ่งฝ่าย

ส่วนการอ้างอิงแหล่งข้อมูลภายนอกแบบรายงานข่าวหรือบทวิเคราะห์จากต่างประเทศอยากเห็นทุกฝ่ายใช้สติพิจารณาเหตุผลและผลกระทบก่อนเผยแพร่ เช่น การแชร์บทความของนายโทนี่ คาร์ตาลุซซี่ ซึ่งระบุชัดว่าเหตุร้ายครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างอดีตนายกฯของไทยกับสหรัฐอเมริกา พร้อมข้อเสนอให้รัฐบาลจับกลุ่มเห็นต่างไปขังไปฆ่าให้หมด ในที่สุดก็ไปถึงการเปิดศึกกับอเมริกา
ผมมั่นใจว่าแนวคิดแบบนี้ทำอะไรสังคมไทยไม่ได้หากเราเข้มแข็งสามัคคี

แต่วันนี้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
อคติอยู่เหนือความจริงและหลักฐาน
วิจารณญาณจึงอยู่ภายใต้อิทธิพลของความขัดแย้ง

ผมไม่ยอมรับการรัฐประหารและผมยืนยันว่าประชาธิปไตยมิอาจสร้างได้ด้วยวิถีแห่งเผด็จการ
แต่กับคนเห็นต่างเราไม่เคยคิดฆ่ากัน เราต่อสู้เพื่อให้สังคมนี้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ถ้าความคิดแบบผมมันผิดและเป็
ฝ่ายแพ้ก็ไม่ควรต้องตาย หากมีความรับผิดชอบใดทางกฎหมายก็ว่าไปตามกระบวนการ
หรือหากผมชนะก็ไม่เคยคิดไปไล่ล่าหรือไล่ฆ่าใคร แต่ทั้งหมดไม่ใช่ตอนนี้

ณ ปัจจุบันสิ่งที่ต้องรู้โดยเร็วที่สุดคือ คนพวกนี้เป็นใคร เขาต้องการอะไร และต้องหยุดพวกเขาให้ได้ทันที ผมว่าเราทำด้วยกันได้
ก่อนเจ้าหน้าที่ EOD จะเก็บกู้ระเบิดลูกต่อไปถ้าจะมี เพียงช่วยกันกู้ระเบิดแห่งอคติออกจากหัวใจกันเสียก่อนเราจะผ่านมันไปได้”

ที่มา : http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1440010723

Categories: Interview