พลิกวิกฤติเป็นโอกาสเปิดประตูปรองดอง : ก้าวพ้นกับดัก
ถือโอกาสส่งท้ายปีเก่า สัมภาษณ์บุคคลสำคัญทางการเมืองมาเปิดมุมมอง แง้มมติความคิดและตัวตน เพื่อต่อจิ๊กซอว์ในช่วงเปลี่ยนผ่านการเมืองตามกติกาใหม่ ที่จะเริ่มเดินหน้าสู่ศักราชใหม่
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มี ชื่อถูกวางตัวให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เจ้าตัวขยับมุมคิดเปิดใจให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง ว่า ในปี 2560 ควรจะเป็นปีเริ่มต้นทำให้เกิดสิ่งที่ดีๆในบ้านเมือง ให้บ้านเมืองเดินสู่ความศิวิไลซ์
โดยเฉพาะทุกฝ่ายที่มีหน้าที่ทำงานเพื่อบ้านเมือง ควรน้อมนำพระราชดำรัสของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงมีพระประสงค์ให้ประชาชนมีความสุข ประเทศชาติสงบสุขสันติ ไม่มีความขัดแย้งต่อไป นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ทรงมีพระเมตตาห่วงใยราษฎร
พรรคเพื่อไทยในฐานะที่เป็นสถาบันทางการเมือง จะน้อมนำพระราชดำรัสนี้ใส่เกล้าไว้สูงสุด เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานและการกำหนดนโยบายของพรรคในอนาคต จะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างทุ่มเทสุดความสามารถ พร้อมจะร่วมแรงร่วมใจกับประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อขจัดความขัดแย้งในบ้านเมือง บนพื้นฐานของหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เพราะความแตกแยกที่เกิดขึ้นมากว่า 10 ปี ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศและได้สร้างปัญหา สร้างความยากลำบากให้คนไทยถึงเวลาหยุดเล่นกีฬาสีแห่งการแย่งชิงอำนาจ กลับมาเคารพกติกาประชาธิปไตยแทนวิถีต่อสู้บนท้องถนน ใช้กฎหมายอย่างเที่ยงธรรมตามหลักนิติธรรม ทุกฝ่ายสมควรจะต้องทบทวนตัวเอง ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายกองทัพ จะต้องปรับบทบาทการดำเนินงานให้สอดคล้องสนองพระราชปณิธานของพระองค์ท่านให้ได้
วันนี้ใครก็ตามที่รักบ้านเมืองจริง จะต้องร่วมมือและหันหน้ามาช่วยกันคิดหาทางออกจากภาวะความขัดแย้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นแก่ประชาชนและนักลงทุน เพื่อให้การค้า การลงทุนฟื้นกลับคืนมา ตราบใดที่ประเทศไทยยังมีความขัดแย้ง เศรษฐกิจก็ยากที่จะฟื้น รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บ่นว่าเอกชนไม่ยอมลงทุน จะมาลงทุนได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีความมั่นใจในอนาคตของประเทศไทย
เห็นได้จากมีเพื่อนที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นระบุว่า จากนี้ไปการลงทุนในประเทศไทยคงจะต้องหยุดเอาไว้ก่อน ทั้งที่คนญี่ปุ่นชอบประเทศไทยมาก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยยากเกินกว่าความเข้าใจของนักธุรกิจญี่ปุ่น
โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นักธุรกิจญี่ปุ่นคนนี้มองว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้รัฐบาลไทย ไม่สามารถให้ความมั่นใจและไม่มีอำนาจคุ้มครองนักลงทุน จำเป็นจะต้องย้ายการลงทุนไปที่อื่น
การบังคับใช้กฎหมายเป็นอีกปัจจัยที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ยิ่งออกกฎหมายหรือกติกาที่ขัดต่อหลักสากลมากๆเข้า ยิ่งทำให้นักธุรกิจไทยและต่างประเทศไม่มั่นใจอนาคตของประเทศ
ฉะนั้นขอให้รัฐบาลจะออกกฎหมายใดๆ ขอให้เป็นไปเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของอนาคตใหม่ เอื้อต่อการค้า การลงทุน และสอดรับกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพราะโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ๆได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบและวิธีการค้าขายอย่างสิ้นเชิง หลายธุรกิจจะถูกผลกระทบจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ถ้าไม่ปรับตัวให้รวดเร็วทันการเปลี่ยนแปลง เราจะตกยุคทันที โอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศจะหดหายไปเรื่อยๆ
ฉะนั้นในปี 2560 ถึงเวลาที่ผู้มีหน้าที่ต่อบ้านเมืองและคู่ขัดแย้งทุกฝ่าย จะต้องร่วมกันหาทางออกให้ประเทศ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจอยู่ในขณะนี้ต้องเสียสละ รับฟังด้วยหัวใจ เริ่มสร้างกระบวนการเปิดเวทีให้ทุกฝ่าย ร่วมคิดร่วมทำมองอนาคตประเทศไทยร่วมกัน
อย่าทำแค่เป็นรูปแบบเหมือนหลอกกัน เพราะเดินไปติดหล่มความขัดแย้งอีก คราวนี้จะไม่ติดแค่หล่มความขัดแย้ง จะกระโดดลงเหวเลย ฉะนั้นรัฐบาลจะต้องสนับสนุนหารือทางออกให้ประเทศ ในทางที่ถูกตามกติกาและกฎหมาย
รัฐบาลไม่ควรทำตัวเป็นผู้ขัดแย้ง ไม่ใช่ชักใบให้เรือเสีย ขอให้ยกโทษให้คนนั้นคนนี้ ผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งต้องเอาไว้ทีหลัง ควรพูดถึงเรื่องของประเทศก่อนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพราะปัญหาเศรษฐกิจของประเทศกำลังเดินมาถึงปากเหว เศรษฐกิจไม่มีทางดีขึ้นถ้ายังขัดแย้งกันอยู่
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยขอเสนอความเห็นในนามส่วนตัวว่า จะต้องทบทวนบทบาทที่ผ่านมา ปรับปรุงการทำงาน พร้อมน้อมนำพระราชปณิธานของรัชกาลที่ 10 มาปฏิบัติอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะที่พระองค์ท่านได้พระราชทานกุญแจมาไขประตูออกจากปัญหาความขัดแย้ง เพื่อให้ประชาชนมีความสุข ประเทศสุขสันติ ไม่ขัดแย้ง โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องไขกุญแจพร้อมๆกัน
ถ้าฝ่ายอื่นไม่พร้อมที่จะไขกุญแจ พรรคเพื่อไทยจะขอนำร่องไขกุญแจก่อน หมดเวลาที่จะโทษคนอื่น ต้องปรับตัวเอง พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมืองที่ยึดมั่นและส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยึดมั่นการแก้ไขปัญหาด้วยระบบและกฎหมาย ไม่สนับสนุนการกระทำที่นำไปสู่ความขัดแย้ง
เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจและให้อำนาจสมาชิกคัดเลือกและการตรวจสอบนักการเมืองของพรรคเพื่อให้ได้คนดี มีความซื่อสัตย์ สร้างเสริมการทำงานที่ใช้องค์ความรู้ และแนวคิดที่ทันสมัยทันการเปลี่ยนแปลงของโลก มาแก้ไขปัญหาของประเทศบนความโปร่งใส
สิ่งใดที่พรรคทำแล้วเป็นความกังวลใจ ความไม่สบายใจต่อประชาชน ไม่ว่าจะเกิดจากข้อผิดพลาดหรือจากการถูกป้ายสี จะต้องพร้อมขจัดไปให้หมด แล้วกลับมาใช้จุดแข็งของพรรค ที่ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาสร้างนโยบายแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศให้ทันยุคทันสมัย
พรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นเครื่องมือและกลไกแก้ปัญหาของประเทศที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาใหญ่อยู่ในขณะนี้ ถ้าทำได้แบบนี้รับรองเราจะเป็นส่วนหนึ่งองค์กรหนึ่งที่จะให้ความร่วมไม้ร่วมมือกับประชาชนให้หลุดพ้นปัญหาของประเทศ
ทีมข่าวการเมือง ถามว่า ในฐานะที่สังคมจับตามองว่าจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ จะนำพาพรรคเดินตามแนวที่เสนอมา คุณหญิงสุดารัตน์ บอกว่า เริ่มต้นคิดก็ผิดแล้วที่จะเลือกคนนั้นคนนี้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค การปรับปรุงพรรคจะต้องเริ่มคิดใหม่ โดยให้สมาชิกพรรคเป็นผู้คัดเลือกว่า จะเอาใครมาทำหน้าที่อะไร เราชอบใครก็เป็นหนึ่งเสียงที่สนับสนุน ถ้าใครไม่ปรับปรุงตัวเองจะตกยุคสมัยเป็นซากปรักหักพังของประเทศ ถ้ายอมปรับตัวเองอย่างเคร่งครัด จะกลายเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ของประเทศ ส่วนตัวอยากให้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ของประเทศ
แต่พรรคเพื่อไทยคู่กับตระกูลชินวัตรมายาวนานตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย ถ้าเปิดให้สมาชิกพรรคคัดเลือกคณะผู้บริหารพรรค เพื่อรองรับการเมืองใหม่ตามกติกาใหม่ ตระกูลชินวัตรยังอยู่ภายในพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ บอกว่า เราจะต้องสร้างพรรคเพื่อไทยให้เป็นสถาบันทางการเมือง ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย
ให้ความสำคัญกับสมาชิกพรรคทุกคน มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการกำกับและควบคุมนักการเมือง อันนี้เป็นหัวใจที่พรรคจะต้องทำ เปรียบเหมือนพรรคการเมืองเป็นบริษัทจำกัด มีเถ้าแก่คอยสั่งการทุกอย่างในบริษัท เมื่อบริษัทเจริญเติบโตขึ้นจะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผู้ถือหุ้นในบริษัทย่อมมีตระกูลชิน เราอย่าไปโกหกว่าไม่มีแต่เมื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีกฎเกณฑ์ควบคุมกำกับ ผู้ถือหุ้นจะต้องปฏิบัติตาม อาจจะถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ถือหุ้นมากกว่าคนอื่น แต่ทุกคนมีเสียงเท่ากันหมด
จะไปบอกว่าพรรคนี้ต้องไม่มีคนตระกูลนี้ตระกูลนั้น พอถึงวันลงสมัครรับเลือกตั้งปรากฏว่ามีคนในตระกูล “วงศ์สวัสดิ์-ดามาพงศ์-ชินวัตร” แล้วมาบอกว่าโกหกใช่หรือไม่ ขอพูดตรงไปตรงมา ในเมื่อเขาเป็นคนก่อตั้งพรรคและทำนโยบายหลายด้านให้เกิดผลดีต่อประเทศ และเป็นผู้ถือหุ้นที่แปลงจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชน
ฉะนั้นตอนเป็นบริษัทจำกัดเจ้าของบริษัทชี้ได้ทุกอย่าง แต่พอเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชนก็มีข้อจำกัดต่างๆควบคุม เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นจะไปทำเหมือนเป็นเถ้าแก่บริษัทจำกัดคงไม่ได้.
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/820854