ได้ที่หนึ่งอาจยังไม่พอ จำเป็นต้องชนะถล่มทลาย
“ภูมิธรรม” เผยกระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองเอื้อต่อการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกฯ ต่อ
กระแสข่าวการไหลออกของอดีต สส.เพื่อไทยในหลายพื้นที่ กำลังซ้ำเติมสภาพปัญหาความระส่ำระสายภายใน จนเกิดความเป็นห่วงกันว่าอาจพานกระทบไปถึงผลเลือกตั้งในระบบกติกาใหม่
ยิ่งคนกันเองอย่าง “กลุ่มสามมิตร” แปรสถานะเป็นคู่แข่ง พร้อมกำลังสนับสนุน ทั้งอำนาจรัฐ พ่วงด้วยทรัพยากรล้นมือ อาจทำให้การแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายของเพื่อไทยเหมือนที่ผ่านมา
ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษเริ่มตั้งแต่ประเด็นความพร้อมแม้จะยังไม่แน่ใจว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นตามโรดแมป แต่คนเป็นนักการเมืองต้องมีความพร้อมตลอดเวลาสำหรับการทำงานการเมืองให้พี่น้องประชาชน
“หมายความว่าคนเป็นนักการเมืองต้องประสาน รับรู้ เข้าใจ ความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน ไม่ใช่ประกาศมีเลือกตั้งถึงจะลงไปหาพี่น้องประชาชน แม้โดยรูปการณ์ที่ผ่านมาจะไม่ให้ทำงานการเมืองแต่ทุกคนก็มีโอกาสไปพบปะประชาชนในโอกาสต่างๆ รับฟังเสียงสะท้อน
เราได้ชื่อว่าเป็นพรรคที่เข้าใจปัญหาประชาชนผ่านบุคลากรที่คลุกคลีกับพี่น้องประชาชน ทำให้เราสามารถรับรู้ว่าเขามีปัญหาอะไร ถึงจะกำหนดแนวนโยบายตอบสนองปัญหาของเขาได้” รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย มองว่า เท่าที่ประเมินประชาชนในพื้นที่ชนบทยังประสบปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ไม่สามารถตอบสนองหรือแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชน แม้จะพูดว่าจีดีพีขยายตัว 3-4% แต่ภาพรวมการเจริญเติบโตไปอยู่ที่คนส่วนบนของสังคม
อย่างไรก็ตาม การพยายามเอาเงินลงไปฐานราก แต่ก็ถูกสูบกลับขึ้นมาเร็วเกินไปไม่กระจาย คนชั้นล่างทำให้กำลังซื้อมีปัญหาเศรษฐกิจซบเซาไม่ใช่ใครจะมาปั้นตบแต่งให้เศรษฐกิจดูดี แต่ประชาชนสัมผัสได้เงินในกระเป๋ามีอยู่เท่าไหร่ กำลังซื้อไม่มี การหมุนเวียนของเศรษฐกิจซบเซาไปทั้งระบบ
อีกส่วนคือ ผลกระทบเรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งปัญหาที่ผูกกับเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งการทำให้ระบบการเมืองการปกครองมีระบบยุติธรรม มีรูล ออฟ ลอว์ จะเป็นกุญแจไขไปสู่การแก้ไัขปัญหาเศรษฐกิจ ถึงมีการเรียกร้องให้เกิดการเลือกตั้งที่อิสระและยุติธรรม ไม่ให้ใช้อำนาจเอาเปรียบคู่แข่ง
“สิ่งที่กำลังทำอยู่ในทางการเมือง ทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อว่าเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง เอื้อต่อการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ซึ่งอย่าประมาทอารมณ์ความรู้สึกของคน ยิ่งใช้ความไม่ชอบธรรมมากเท่าไรก็จะยิ่งมีผลผูกพัน
… การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นตัววัดว่าการที่รัฐใช้อำนาจเกินความจำเป็นมากกว่าคนอื่น ชิงความได้เปรียบทุกอย่างเพื่อดำเนินการขอสืบทอดอำนาจ และวัดผลว่าผลงานที่ทำมาแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชนได้ดีหรือไม่ผลการเลือกตั้งจะเป็นตัววัดที่ดี”
สำหรับจุดขายของเพื่อไทยในการเลือกตั้ง ภูมิธรรม บอกว่า เราต้องทำให้ประชาชนมั่นใจว่าเราเป็นพรรคการเมืองยืนหยัดในอุดมการณ์ความเชื่อมั่นพี่น้องประชาชน ที่ผ่านมาเพื่อไทยมีจุดยืนชัดเจนไม่เอาเผด็จการ เคารพสิทธิเสรีภาพประชาชนอันจะเป็นเครื่องมือนำไปสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาต่อเนื่อง
ส่วนแนวนโยบายของพรรคจะอยู่บนพื้นฐานที่สามารถตอบโจทย์แก้ปัญหาที่กำลังเผชิญได้ พรรคเพื่อไทยมีแนวนโยบายที่สอดรับกับความเป็นจริงของชีวิตประชาชน และที่สำคัญคือการยอมรับว่าสิ่งที่พูดนั้นพูดจริงทำจริง เสนอไปแล้วทำได้จริง ต้นทุนเหล่านี้ทำให้พรรคเพื่อไทยถูกฆ่าเท่าไรก็ไม่ตาย
“พี่น้องประชาชนรู้สึกว่าเราเป็นพรรคที่ตอบโจทย์เขาได้ ที่สำคัญยิ่งเขาเห็นความไม่ยุติธรรม ที่ถูกกระทำมาตลอดตรงนี้เป็นสิ่งที่คนรักความยุติธรรม ไม่ยอมรับการใช้อำนาจที่กระทบหรือทำให้เกิดปัญหากับคนที่เขารัก ตั้งใจทำงานให้เขา ตรงนี้จะได้พิสูจน์สิ่งต่างๆ ที่เป็นอยู่”
จากกรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ออกมาแสดงความเห็นเป็นห่วงเรื่องจะถูกยุบพรรคหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่พี่น้องประชาชน เขาเข้าใจดี และยิ่งจะเห็นอกเห็นใจเรามากขึ้น เราผ่านวิกฤตมาสองครั้งแล้ว ถึงเวลาเราก็อยู่กับความเป็นจริง การพูดเรื่องครอบงำเป็นวาทกรรมโน้มน้าวให้รู้สึกว่ากำลังทำผิด
ถามว่าเราผิดข้อนี้เรื่อง ครอบงำ ไม่ครอบงำ รัฐบาลอย่าบ้องตื้น มีหลายเรื่องที่ ป.ป.ช.ควรไปตรวจสอบ ทั้งเรื่องนาฬิกา โรงพัก หลายเรื่อง ป.ป.ช.ไม่เร่งรัด แต่พอเป็นเพื่อไทย รีบทำทันที ทำให้คนเกิดความไม่เข้าใจว่าตรงนี้มีอะไรผิด ความเห็นนักกฎหมาย มาตรา 28 และ 29 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง การครอบงำต้องเป็นหนึ่งในกิจกรรมของนักการเมือง เรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นคนไปตีกอล์ฟ ขณะที่ทั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ใช่กิจกรรมของพรรคการเมือง
ตามมาตรา 28 นั้นต้องยินยอมให้มีอิทธิพลที่จะครอบงำกิจกรรมของพรรคการเมือง แต่ ทักษิณ วิพากษ์วิจารณ์ตามความเห็นทัศนะเรื่องการกระทำซึ่งเป็นเรื่องสังคมไม่ชอบ รังเกียจนักการเมืองเร่ร่อนไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ สังคมอยากเห็นปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง การพูดนั้นเป็นความเห็นบริสุทธิ์ใจไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง เรื่องยินยอม ไม่ยินยอม การบอกว่าจะเก็บข้อมูลไปดูว่าเกี่ยวอะไรกับในอนาคตหรือไม่ ก็เป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระ
“ตรงนี้อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ กกต. ต้องเที่ยงธรรม หนักแน่น และให้ความยุติธรมกับทุกฝ่ายไม่มีอะไรที่ควรจะตีความเรื่องเหล่านี้ได้เลย ไม่เช่นนั้นจะทำให้กฎกติกาทั้งหลายกลายเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายที่คุณรู้สึกว่ามีเห็นความเห็นต่าง ยิ่งทำให้สังคมไปกันใหญ่”
ถามถึงกระแสข่าวอดีต สส.หลายสิบคนย้ายออกจากพรรค รักษาการเลขาธิการพรรค กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่คิดอะไรเยอะผ่านร้อนผ่านหนาว เป็นเวลานับ 10 ปี ไม่ใช่ปัญหาของพรรคการเมืองแต่เป็นปัญหาของรัฐบาลที่อยากอยู่ในอำนาจต่อไปและมีเสียงไม่เพียงพอกับกติกาที่ตัวเองเขียนขึ้นมาเอง
อย่างไรก็ตาม เวลานี้มีเพียงแค่ จ.เลย จังหวัดเดียวที่ออกไปและออกไปแค่ครอบครัวคุณปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ไม่ได้ไปทั้งจังหวัด ส่วนจังหวัดอื่นยังไม่มีใครออกชัดเจน จากรายชื่อ 50-80 คน หลายคนหมดบทบาททางการเมือง บางคนเคยอยู่กับเราสมัยไทยรักไทยตั้งแต่ 2544 จากนั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรอีกวันนี้ผ่านมาเกือบ 20 ปี
ขณะที่ จ.นครปฐม ทั้ง อนุชา สะสมทรัพย์ และ ก่อเกียรติ สิริยะเสถียร อดีต สส. เพื่อไทย ก็มายืนยันความเป็นสมาชิกพรรค ตอนที่ไปตีกอล์ฟก็มาตีไม่มีปัญหา แต่เมื่อถึงเวลาแต่ละคนตัดสินใจชะตาชีวิตตัวเองเราห้ามไม่ได้เป็นเรื่องของความคิดของแต่ละคน ซึ่งไม่รู้ว่าข้อจำกัดของแต่ละท่านเป็นยังไง
ทั้งนี้ จุดยืนอุดมการณ์เพื่อไทยยึดมั่นคือไม่เอาเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในกรอบที่ไม่เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง การที่คนจะออกไปเพราะมีความเห็นต่างกับเรา เรายินดีและเมื่อเปิดให้ทำกิจกรรมการเมืองได้ เราก็จะคัดสรรคนรุ่นใหม่เข้ามา
ส่วนที่เวลานี้ต้องมาแข่งกันเองกับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยเป็นกำลังสำคัญตั้งแต่ไทยรักไทยรู้จุดอ่อนจุดแข็งจะทำให้เกิดความหนักใจหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่หนักใจคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนมิตรในแง่ส่วนตัว แต่การตัดสินใจมีความคิดอุดมการณ์ที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่เป็นไร
“การเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะมีความชัดเจน ซึ่งเป็นการแข่งกันระหว่างฝ่ายยึดมั่นในกรอบประชาธิปไตย และยึดมั่นในกรอบการใช้อำนาจที่ไม่เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย ในการเลือกตั้งท่านก็รับผลไปจะได้หรือเสียประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน”
ถามว่าจะทำให้นโยบายออกมาใกล้เคียงกันหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า นโยบายที่สำคัญอยู่ที่คนที่เข้าใจสามารถตอบสนองประชาชนได้แท้จริง ต้องพิสูจน์ว่าต้นตำรับที่เป็นขนานแท้ ทำนโยบายมาด้วยกระบวนการ ยึดมั่นตอบสนองความต้องการของประชาชน กับนโยบายที่ตัวเองไม่ได้ริเริ่มแต่ต้น จะสามารถทำได้เหมือนกันหรือเปล่า
“ในอดีตการคิดนโยบายได้ต้องลงไปสัมผัสเรียนรู้ การมีส่วนร่วมของประชาชน ร่วมกันจนทำนโยบายประสบความสำเร็จ การคิดอะไรบางอย่างที่ไม่เข้าใจถ่องแท้ ไม่ประสบความสำเร็จได้ง่าย แต่อย่างน้อยที่สุด แนวคิดอุดมการณ์ที่เราอยากทำให้พี่น้องประชาชน ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับของทุกฝ่าย อย่างน้อยคนที่กำลังอยู่กับรัฐบาลก็กำลังคิดเหมือนกัน ไม่ได้มาโจมตีสิ่งที่เราคิดว่ามีปัญหา ซึ่งอยู่ที่ประชาชนพิสูน์ว่าจะเชื่อใคร”
ทั้งนี้ กลุ่มสามมิตรก็ไม่ใช่กลุ่มใหม่ สามท่านเป็นบุคลากรท่ี่มีความสามารถศักยภาพ แต่สมัยก่อนตอนออกไปทำพรรคเพื่อแผ่นดิน รวม “ส.” มากกว่านี้ไม่ใช่แค่ สมคิด สุริยะ สมศักดิ์ มีอีกหลาย ส. ซึ่ง หลายท่านเข้าใจผิดว่าความเข้มแข็งอยู่ที่แกนนำ แต่ความเข้มแข็งอยู่ที่อำนาจการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน
ภูมิธรรม กล่าวว่า เรายังเชื่อว่าเราจะเป็นพรรคที่ได้อันดับหนึ่ง เราเชื่อบนฐานที่เราใกล้ชิดกับประชาชน ได้สัญญาณจากประชาชน ระบบเลือกตั้งใหม่อาจกระทบกับปาร์ตี้ลิสต์บ้าง การได้คะแนนที่หนึ่งอาจไม่เพียงพอจำเป็นต้องชนะถล่มทลาย ซึ่งจะได้ไม่มีผลต่อปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งการเป็นพรรคอันดับหนึ่งนั้นเป็นไปได้ แต่จะชนะแบบแลนด์สไลด์หรือไม่อยู่ที่ประชาชน
ที่มา : https://www.posttoday.com/politic/report/556282