“กิตติรัตน์” แนะรัฐนำแนวคิด “การจัดสรรทรัพยากรกันใหม่ (Re-Matching Resources)” แก้ปัญหาเศรษฐกิจและผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของไทยเป็นวงกว้างและลึก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งจะมากกว่าที่เข้าใจกันว่าจะกระทบเพียงธุรกิจการท่องเที่ยว โดยโควิด-19 จะกระทบทั้งภาคการผลิต การส่งออกและนำเข้า เนื่องจากปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีความสำคัญกับห่วงโซ่อุปทานของภาคการผลิตในหลายประเทศทั่วโลก และมีบทบาทสำคัญต่อการค้าของสหรัฐ เยอรมัน ญี่ปุ่น และเกาหลีในสัดส่วนที่มากที่สุด
ในปีที่ผ่านมาจีนมีการขนส่งสินค้าสำเร็จรูป และกึ่งสำเร็จรูปทางทะเลในสัดส่วนถึงร้อยละ 14 ของโลก, สินค้ากลุ่มเคมีร้อยละ 12, อาหารแห้งร้อยละ 2 ขณะที่จีนนำเข้าอาหารแห้งในสัดส่วนสูงสุดที่ร้อยละ 35, ผลิตภัณฑ์เคมีร้อยละ 20, แก๊ส ร้อยละ 18, น้ำมันและพลังงานร้อยละ 16 และการขนส่งสินค้าทางทะเลร้อยละ 7 หากจีนปิดการขนส่งสินค้าในเมืองสำคัญจะกระทบต่อการผลิตของโลก เนื่องจากวัตถุดิบส่วนประกอบที่หลายประเทศต้องนำเข้าจากจีน หากไม่มีวัตถุดิบจากจีน การผลิตสินค้าขั้นปลาย (Finished Goods) จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น เพราะผู้ผลิตจะต้องนำเข้าวัตถุดิบจากแหล่งอื่นซึ่งมีราคาสูงกว่า คาดว่าในระยะเวลา 1-2 เดือนนี้จะเห็นผลกระทบชัดเจน ทั้งด้านความขาดแคลนสินค้า และราคาสินค้า
ขณะที่ภาคการส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ขายเข้าไปในประเทศจีนย่อมจะเกิดปัญหา โดยเฉพาะสินค้าเกษตรของไทยเริ่มได้รับผลกระทบ เนื่องจากจีนระงับการสั่งซื้อจำนวนมาก ทำให้สินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาสินค้าตกต่ำ โดยพบว่าสินค้ากลุ่มทุเรียน รังนก กุ้ง ได้รับผลกระทบแล้ว
อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอแนะให้รัฐบาลนำเอาแนวคิด “การจัดสรรทรัพยากรกันใหม่ (Re-Matching Resources)” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยแนะนำแนวคิดนี้ไว้ว่าให้เคลื่อนย้ายทรัพยากรที่เหลือใช้จากจุดหนึ่ง ไปใช้ประโยชน์อีกจุดที่ต้องการ โดยไม่มุ่งใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลือง ซึ่งเป็นหลักการที่ควรเร่งนำมาใช้ได้ดีในประเทศไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤตเช่นนี้ โดยควรเร่งทำก่อนที่จะเสียหายมากจนยากที่จะเยียวยาแก้ไข เช่น ให้ภาครัฐ และองค์กรผู้แทนธุรกิจเอกชน เร่งหารือกับภาคการผลิตที่เคยส่งไปขายที่จีนว่าจะเบนทิศทางไปยังตลาดใดแทนด้วยความช่วยเหลือสนับสนุนกันและกันของรัฐและเอกชน (ซึ่งย่อมรวมถึงภาคการเงินด้วย) หรือแม้แต่การแก้ปัญหาระยะยาวอย่าง การแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง โดยจ้างงานเกษตรกรที่ประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก หรือได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้ง มาร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำขาดแคลน อย่างการขุดบ่อชลประทานทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดย่อม ซึ่งจะส่งผลดีเป็นทวีคูณเมื่อวิกฤตการคลี่คลายลง ในระยะสั้น เกษตรกรมีรายได้ไปใช้จ่ายประทังคุณภาพชีวิต แต่ไม่ใช่ได้เงินรับแจกแบบให้ทานโดยไม่เกิดประโยชน์ ยังมีประเด็นอื่นอีกมากทั้งเรื่องใหญ่ ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ ที่เราจะร่วมไม้ร่วมมือกันทำได้ ด้วยการนำของภาครัฐ แต่ขอไม่เสนอในที่นี้ด้วยเกรงว่าผู้มีอำนาจจะเกิดทิฐิ จนกลายเป็นดื้อดึงไม่ยอมทำ
“ขอยืนยันหลักคิดที่ว่า “ในทุกวิกฤต มีโอกาสซ่อนอยู่” หาให้พบ “จับคู่ (Re-matching)” ให้ได้ ให้ทันเวลา แล้วเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน” นายกิตติรัตน์ กล่าว