เล่าเรื่องผู้นำสตรี : มาร์กาเร็ต ฮิลด้า แธตเชอร์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกแห่งอังกฤษ
มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ
และยังสามารถครองอำนาจอยู่ในตำแหน่งได้ต่อเนื่องถึงสามสมัย
เธอเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่มีอิทธิพลอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 20 นโยบายของเธอที่เรียกว่า Thatcherism
ก็ยังคงทรงอิทธิพลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
มาร์กาเร็ต ฮิลด้า นอกจากนี้ (ชื่อเดิม
มาร์กาเร็ต ฮิลด้า โรเบิร์ต – Margaret Hilda Roberts) เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ.1925 ในเมืองแกรนด์แธม แคว้นลินคอนไชร์
โดยที่บ้านของเธอประกอบอาชีพเปิดร้านขายของชำแต่พ่อของเธอ – อัลเฟรด เป็นผู้ที่มีบทบาทยู่ในการเมืองท้องถิ่นของที่นั่น
มาร์กาเร็ตจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด จากนั้นทำงานเป็นนักวิจัยด้านเคมี
ก่อนจะได้รับการศึกษาและฝึกฝนเพื่อเป็นทนายความในปี ค.ศ.1954 มาร์กาเร็ตสมรสกับแดนิส แธตเชอร์ นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ในปี ค.ศ.1951 และมีลูกชายหญิงฝาแฝดด้วยกัน
ปี ค.ศ.1959 มาร์กาเร็ตขณะอายุได้ 34
ปี
เธอได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในเขตเลือกตั้งฟินชเลย์
ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน ในยุคสมัยที่นักการเมืองสตรียังมีอยู่น้อยมาก ในช่วงปี ค.ศ.1964-1970
เมื่อพรรคแรงงานขึ้นสู่อำนาจ มาร์กาเร็ตทำงานอย่างหนักในหลายตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเงาของเอ็ดเวิร์ด
ฮีธ และในปี ค.ศ.1970 เมื่อฮีธได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี มาร์กาเร็ตก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์
ค.ศ.1974 -ภายหลังจากพรรคอนุรักษ์นิยมพ่ายแพ้การเลือกตั้ง มาร์กาเร็ตเริ่มท้าทายภาวะความเป็นผู้นำพรรคของฮีธด้วยการลงสมัครเลือกตั้ง
และเธอสามารถชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ.1979 ทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมกลับสู่อำนาจและทำให้เธอกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิง
มาร์กาเร็ตเน้นนโยบายการแปรรูปอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคที่รัฐเป็นเจ้าของ
ให้กระจายออกสู่เอกชน ปฏิรูปสหภาพการค้า ลดหย่อนภาษีและลดค่าใช้จ่ายทางสังคมลง
นโยบายของเธอประสบความสำเร็จอย่างมากในการลดอัตราเงินเฟ้อของประเทศ
แต่ขณะเดียวกันตัวเลขจำนวนคนว่างงานก็พุ่งสูงขึ้นในขณะที่เธออยู่ในอำนาจเช่นเดียวกัน
นักวิจารณ์และผู้สนับสนุนต่างให้การยอมรับภาวะความเป็นผู้นำของมาร์กาเร็ต เธอสะสมความนิยมจากประชาชนและเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่ออังกฤษอย่างมากในช่วงทศวรรษที่
1980
บ่อยครั้งที่มาร์กาเร็ตมักกดดันให้นักวิจารณ์เคารพต่อการเขียนวิจารณ์ชีวิตของเธอ และบ่อยครั้งที่การอภิปรายทางการเมืองอันลึกซึ้งของเธอได้สร้างผลกระทบต่อสังคมอังกฤษอย่างมาก
แม้ว่าจะมีการกล่าวว่าผู้สนับสนุนของเธอนั้นกลายเป็นพวก Thatcherism หรือพวกแธตเชเชอร์นิยมก็ตาม
ในยุคสมัยที่มาร์กาเร็ตดำรงตำแหน่ง เธอสร้างแรงกดดันให้พรรคแรงงานจนทำให้มีการปฏิรูปพรรคอย่างหนัก
จนกระทั่งกลายเป็นพรรคแรงงานใหม่ภายใต้การนำของโทนี แบลร์และ กอร์ดอน บราวน์
มรดกทางการเมืองของเธอยังคงอยู่ภายในการเมืองของอังกฤษถึงปัจจุบัน เช่น วิกฤตเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี
ค.ศ.2008
นั้นทำให้มีการรื้อฟื้นนโยบายทางการเมืองของเธอในช่วงทศวรรษ 1980 ขึ้นมาพูดคุยและถกเถียงกันอีกครั้ง ทำให้ชื่อของมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ยังคงถูกกล่าวถึงเสมอในวงการเมืองของอังกฤษ
ชัยชนะในสงครามฟอร์คแลนด์เมื่อปี ค.ศ.1982 และความแตกแยกของฝ่ายค้านทำให้มาร์กาเร็ตได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นจากการเลือกตั้งในปี
ค.ศ.1983 ขณะที่ในปี ค.ศ.1984 มีความพยายามลอบสังหารเธอจากกลุ่ม
IRA ที่วางแผนวางระเบิดที่ประชุมของพรรคอนุรักษ์นิยมในไบรตัน แต่มาร์กาเร็ตก็สามารถรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ในด้านการต่างประเทศ มาการ์เร็ตสร้างสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
ในช่วงประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ภายใต้ความกังวลของการเมืองโลกเกี่ยวกับการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์
ผสมผสานไปกับการสร้างความมั่นคงในอุดมการณ์ตลาดเสรี ในครั้งหนึ่งมาร์กาเร็ตเคยให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่มิคาอิล
โกบาร์ชอฟ ผู้นำการปฏิรูปของสหภาพโซเวียต และสหภาพโซเวียตได้ตั้งสมญานามให้เธอว่า
“สตรีเหล็ก” อีกด้วย
ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี ค.ศ.1987 มาร์กาเร็ตชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่สาม
แต่นโยบายที่ขัดแย้งของเธอ เช่น การเก็บภาษีส่วนบุคคลและการคัดค้านความร่วมมือกับยุโรป
ทำให้เกิดความขัดแย้งในพรรคจนนำไปสู่การแข่งขันการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1990 มาร์กาเร็ตก็ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี
โดยผู้ที่มารับตำแหน่งต่อจากเธอ คือ นายจอห์น เมเยอร์
ปี ค.ศ.1992 มาร์กาเร็ตลาออกจากรัฐสภา
เธอได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางหญิงในสภาขุนนางโดยดำรงบรรดาศักดิ์บารอนเนสแธตเชอร์แห่งเคนสตีเวนและยังคงเดินสายกล่าวสุนทรพจน์และบรรยายพิเศษไปทั่วโลก
นอกจากนี้เธอยังได้ก่อตั้งมูลนิธิแธตเชอร์ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำงานผลักดันทางการเมือง
เศรษฐกิจและเสรีภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ประเทศเสรีใหม่ในตอนกลางและตะวันออกของยุโรป ต่อมาในปี
ค.ศ.1995 เธอเข้าเป็นสมาชิกของ Order of Garter และ The HighestOrder of the Knighthood in
England
ภายหลังการเดินสายกล่าวสุนทรพจน์มายาวนาน ในปี ค.ศ.2002 มาร์กาเร็ตหยุดการเดินสายกล่าวสุนทรพจน์และบรรยายสาธารณะ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์เสียชีวิตด้วยโรคเส้นโลหิตอุดตัน
ในวัย 87 ปี เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ.2013
แปลและเรียบเรียงจาก