How To: ออมอย่างไรหลังเกษียณ

มนุษย์เงินเดือนจำนวนไม่น้อยเริ่มคิดไว้แล้วว่าจะเกษียณเมื่อไหร่? จะมีเงินไว้ใช้หลังเกษียณเท่าไหร่?
จะต้องกันเงินไว้ส่วนไหนบ้างหลังเกษียณ? จะออมเงินอย่างไรให้งอกเงยเพื่อให้เพียงพอที่จะใช้ในวัยหลังเกษียณ
บางคนบอกว่าแค่เดือนชนเดือนยังจะยากเลย

ได้มีการคิดคำนวณว่าผู้สูงอายุจะมีค่าใช้จ่ายอยู่
5 ส่วนในการดำเนินชีวิตหลังเกษียณ ได้แก่

ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำรงชีพเช่นค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า  ค่าใช้จ่ายที่อยู่อาศัยเช่าค่าน้ำ ค่าไฟ  ค่าใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ  ค่าใช้จ่ายเพื่อนันทนาการ เช่น การท่องเที่ยวและการกินข้าวนอกบ้าน

และค่าใช้จ่ายสำหรับเรื่องรถ

ในรายงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รายงานว่าครัวเรือนไทยในปี
2556 มีเงินออมโดยเฉลี่ยครัวเรือนละ 115,446 บาท
โดยในรายงานระบุว่าผู้สูงอายุจะต้องมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2.03 ล้านบาทต่อคนจึงจะเพียงพอต่อการดำรงชีพจนถึงอายุ
80 ปี  นั่นหมายถึงคนส่วนใหญ่ยังมีอัตราการออมที่น้อย  ไม่เพียงพอวัยหลังเกษียณ 

การออมในวัยหลังเกษียณ สิ่งสำคัญอย่างมากคือการวางแผนในวัยเกษียณ
ซึ่งการออมสามารถออมตั้งแต่ง่าย เช่น ฝากธนาคารไปจนถึงการออมในกองทุนประเภทต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม (Mutual Fund) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident
Fund) หรือการลงทุนอย่างกองทุน LTF และ RMF
ซึ่งหลายคนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้

สิ่งสำคัญคือจะออมเงินอย่างไร จะลงทุนลงกับอะไรดี
เพื่อได้ผลตอบแทนที่ดีและทำให้ชีวิตหลังวัยเกษียณอยู่สุขสบาย  ไม่ลำบากมากนักกับเงินที่ออมมาทั้งชีวิต

สำหรับคนที่ต้องการเตรียมวางแผนการออมเงินไว้หลังวัยเกษียณ
มีขั้นตอนง่าย 6 ขั้นตอนที่สามารถเตรียมและวางแผนได้เลย

1.กำหนดเป้าหมายในการเกษียณ เช่น
จะเกษียณอายุเท่าไหร่ประเมินค่าใช้จ่ายหลังวัยเกษียณว่าจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ต่อเดือน  รวมทั้งประเมินว่าตนเองจะสามารถมีชีวิตยืนยาวไปได้เพียงใดเช่น
80 ปี เพื่อให้รู้ว่าเราต้องเตรียมเงินออมไว้เท่าไหร่เพื่อเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ

2.คำนวณเงินที่ต้องใช้หลังวัยเกษียณ 
โดยทำการประเมินจากเป้าหมายของตนเองจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ต่อเดือน  รวมทั้งไลฟ์สไตล์ของตนเองที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณ
โดยจะต้องคิดอัตราเงินเฟ้อเข้าไปด้วย อาทิ ถ้าคุณมองว่าใช้ค่าใช้จ่ายเดือนละ
10,000 บาท โดยมีจำนวนปีหลังเกษียณ 20 ปี จำเป็นต้องเตรียมเงินประมาณ 3.6 ล้านบาท

3. คำนวณเงินออมที่มีเพื่อวัยเกษียณจากแหล่งต่างๆ
ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์การเงินหลากหลายประเภทที่ช่วยในการออมเงิน  ตั้งแต่เงินประกันสังคมที่จะได้เงินบำนาญชราภาพ
เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทเอกชนหลายๆ
แห่งจะบังคับฝากจากเงินเดือนเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ซึ่งจะทำให้เป็นหนึ่งในเงินออมที่สำคัญ เงินประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์และแบบบำนาญ
รวมทั้งเงินออมที่ลงทุนในรูปแบบอื่นอาทิ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ก็เป็นหนึ่งในกองทุนที่เหมาะสมสำหรับการออมเพื่อเกษียณอย่างแท้จริง  เพราะจะขายคืนหน่วยลงทุนได้ก็ต่อเมื่ออายุ 55
ปีไปแล้ว  ทำให้ได้เงินเป็นก้อนใหญ่และยังได้ผลตอบแทนอีกด้วย 

4. คำนวณเงินที่ต้องออมเพิ่มเพื่อวัยเกษียณ
โดยการนำเอาตัวเลขจำนวนค่าใช้จ่ายที่ใช้หลังวัยเกษียณมาหักลบกับเงินออมที่มีอยู่  นั่นจะได้ตัวเลขจำนวนเงินที่ต้องออมเพิ่มเพื่อให้ถึงเป้าหมายในการเกษียณ

5.กำหนดแนวทางการออมและการลงทุน 
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะทำให้การออมประสบความสำเร็จ
ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่การจดบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อให้มีการออมอย่างต่อเนื่อง

และต้องเลือกการออมในรูปของการลงทุนที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตนเองและความเสี่ยงที่ตนเองรับได้

ซึ่งถ้าดีที่สุดคือ การเขียนแผนเป็นลายลักษณ์อักษรและปฏิบัติตามแผนอย่างมีระเบียบวินัยในการออมอย่างมาก

6. ทบทวนและปรับปรุงแผนการออมตลอดเวลา เพื่อให้สามารถออมเงินได้ตามเป้าหมายพร้อมทบทวนว่าเป้าหมายในการเกษียณมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

การออมเพื่อการเกษียณเน้นไปที่การวางแผนการออมการลงทุนอย่างเป็นระบบ  มีการวางแผนทางการเงิน จัดสัดส่วนเงินที่จะออมและลงทุนในส่วนต่างๆ
เพื่อให้ไปตามเป้าหมายที่วางแผนเกษียณไว้

จะทำให้การบริหารจัดการเงินของผู้ที่อยากเกษียณอย่างเป็นสุขชัดเจนมากขึ้นและยังทำให้ไม่เครียดเมื่อวัยใกล้เกษียณแล้ว
และยังส่งผลให้ตนเองไม่เป็นภาระให้กับลูกหลานและยังสามารถเป็นมรดกตกทอดไปได้

อ้างอิง 

ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2557

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

http://www.m-society.go.th/ewt_news.php?nid=11795

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

http://www.tsi-thailand.org/