วันสตรีสากล 2017 #แกร่งกล้าเพื่อความเปลี่ยนแปลง

  วันสตรีสากลมีขึ้นทุกวันที่ 8
มีนาคมของทุกปี เพื่อเฉลิมฉลองและยกย่องสตรีผู้กล้าหาญที่ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอันทัดเทียมกับเพศชายในสังคมที่เต็มไปด้วยการควบคุมของผู้ชาย
หรือสังคมชายเป็นใหญ่

จุดเริ่มต้น

  แนวคิดในการกำเนิดวันสตรีสากล มาจากการที่สหรัฐอเมริกามีการเฉลิมฉลองวันสตรีแห่งชาติ
โดยพรรคสังคมนิยมอเมริกาได้เริ่มต้นให้มีการเฉลิมฉลองวันสตรีแห่งชาติเพื่อเป็นเกียรติแก่เหตุการณ์ที่คนงานโรงงานในนครนิวยอร์คได้ลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องสภาพการทำงานที่ดีกว่า
ในปี 1908

  ต่อมาในปี 1910-1911 องค์กรสังคมนิยมสากลได้ประชุมกันที่เมืองโคเปนเฮเกน
เพื่อกำหนดให้มีวันสตรีสากลขึ้น ประชาชนจากประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก เยอรมนี
และสวิสเซอร์แลนด์
ทั้งหญิงและชายกว่าล้านคนได้ร่วมเดินขบวนเพื่อเรียกร้องสิทธิในการเลือกตั้งและการทำงานของสตรี

  วันสตรีสากลยังถูกใช้เพื่อต่อต้านสงครามโลกครั้งที่
1 โดยเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการสันติภาพ
กลุ่มสตรีชาวรัสเซียได้กำหนดวันสตรีสากลให้เป็นวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์
ซึ่งในยุโรปตรงกับวันที่ 8 มีนาคม เหล่าสตรีได้ออกมาเดินขบวนเพื่อต่อต้านสงครามและแสดงพลังร่วมกับนักกิจกรรมอีกหลายคนในวันดังกล่าว

  หลังจากนั้นเป็นต้นมา วันที่ 8 มีนาคมได้กลายเป็นวันที่กลุ่มสตรีออกมาแสดงพลังเรียกร้องสิทธิและสันติภาพในอีกหลายครั้ง
กระทั่งในปี 1975 องค์การสหประชาชาติก็ได้เฉลิมฉลองวันสตรีสากลในวันที่ 8 มีนาคม
และในปี 1977 ได้ประกาศให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็นวันสตรีสากลอย่างเป็นทางการ ทำให้หลายประเทศประกาศให้วันนี้เป็นวันหยุดราชการ
ไม่ว่าจะเป็นอัฟกานิสถาน ลาว เวียดนาม จีน (หยุดเฉพาะสตรี) กัมพูชา ฯลฯ

วันสตรีสากล 2017

นับตั้งแต่ปี 1995
ซึ่งเป็นปีที่ “ปฏิญญาปักกิ่งที่ว่าด้วยความเท่าเทียมและศักยภาพของผู้หญิง”
เกิดขึ้น ปฏิญญาดังกล่าวทำให้โลกได้เห็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นต่อขบวนการสตรีอย่างมากมาย
แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างก็ตาม แต่สัดส่วนผู้หญิงก็มีจำนวนมากขึ้นทั้งในระบบราชการ และร้อยละ
22 ของสมาชิกสภาทั่วโลกก็เป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากขึ้นกว่าเมื่อสิบปีก่อนที่มีจำนวนเพียงร้อยละ
11

แต่กระนั้นเรายังคงห่างไกลกับคำว่าเสมอภาคมาก
แม้จะมีผู้หญิงในภาคแรงงานมากขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงมักจะได้รับค่าจ้างแรงงานน้อยกว่าผู้ชาย
ไม่ว่าจะในประเทศที่ร่ำรวยหรือประเทศที่ยากจน และถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายเพื่อปกป้องคุ้มครองผู้หญิงจากความรุนแรงต่างๆอย่างมากมายทั่วโลก
แต่เมื่อเวลาประเทศมีสงครามหรือความขัดแย้งใดๆ สถิติความรุนแรงมักจะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเสมอ

นอกจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว
เพื่อเป็นการเร่งลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเพศทั่วโลก องค์การสหประชาชาติจึงได้กำหนด
Theme
หรือหัวข้อหลักในการเฉลิมฉลองวันสตรีสากล ประจำปี 2017 โดยใช้ชื่อว่า #BeBoldForChange
หรือแปลเป็นไทยว่า #แกร่งกล้าเพื่อความเปลี่ยนแปลง  เพื่อเรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม
เป็นโลกที่มีความเสมอภาคทางเพศขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

สิทธิสตรีในไทย

  ประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ในทวีปเอเชียที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีสิทธิในการเลือกตั้ง
ตั้งแต่ปี 2475 ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถึงแม้จะได้สิทธิในการเลือกตั้งแต่บทบาทของสตรีไทยในการเมืองยังคงมีให้เห็นน้อยมาก
เนื่องจากสภาพสังคมในขณะนั้นที่ยังเห็นว่าเพศหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ
ไม่เหมาะสมกับงานทางการเมือง จนกระทั่งปี 2492 ประเทศไทยมีผู้แทนราษฎรที่เป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์
แต่สัดส่วนของผู้หญิงในสภาฯ ภายหลังจากนั้นในหลายๆ ปีที่ผ่านมาก็ยังมีจำนวนที่น้อยมาก
แม้ว่าในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ให้พรรคการเมืองต้องคำนึงถึงความเสมอภาคของหญิงและชาย
แต่ก็ไม่ได้มีการกำหนดสัดส่วนโควตาที่ชัดเจนแต่อย่างใด

  ในส่วนของการปกครองท้องถิ่น มีผู้หญิงดำรงตำแหน่งนายกทั้งอบจ., เทศบาล, อบต. เป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำ มีเพียงร้อยละ
6-7เท่านั้น ในส่วนของสมาชิกสภาท้องถิ่น 
มีผู้หญิงดำรงตำแหน่งในองค์กรปกครองท้องถิ่นทุกรูปแบบเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ
17 เท่านั้น

จนกระทั่งในปี 2554 นางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย ทำให้บทบาทสตรีถูกขับเน้นขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะนางสาวยิ่งลักษณ์นับเป็นสตรีไทยคนแรกของประวัติศาสตร์ที่ขึ้นดำรงตำแหน่งสูงสุดในทางการเมืองไทย

  ในด้านธุรกิจอาจถือได้ว่าเป็นที่น่าพอใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อผลการวิจัยเรื่องผู้หญิงในโลกธุรกิจของ Grant Thornton ระบุว่าประเทศไทยมีสัดส่วนผู้หญิงที่อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารถึงร้อยละ
37 แต่ในภาพรวมแล้วจากรายงานความเหลื่อมล้ำทางเพศทั่วโลก ปี 2016 ของ World Economic Forum ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 71ของประเทศที่มีความเท่าเทียมทางเพศ 144 ประเทศทั่วโลก
และในภาคแรงงานข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ผู้หญิงมีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยที่สูงมากถึง
45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยร้อยละ 34 ใช้เวลาในการทำงานระหว่าง
40-49 ชั่วโมง และ1 ใน 5 ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมง
ในขณะที่ค่าเฉลี่ยการทำงานปกติอยู่ที่ 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

  นอกจากปัญหาด้านชั่วโมงในการทำงานแล้ว แรงงานหญิงยังมักถูกเลือกปฏิบัติจากนายจ้าง
เช่นถูกเอาเปรียบในเรื่องค่าจ้าง การเลื่อนตำแหน่ง หรือสวัสดิการต่างๆ เช่น กฎหมายการลาคลอดที่ให้ผู้หญิงลาคลอดได้เพียงแค่
90 วัน และได้รับค่าจ้างไม่เกิน 45 วันเท่านั้น

ปัญหาการละเมิดสิทธิสตรีทางกายภาพก็เป็นปัญหาใหญ่เช่นเดียวกัน
เรามักจะเห็นข่าวสามีทำร้ายร่างกาย บังคับขืนใจ
หรือผู้หญิงถูกกระทำรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง นั่นสะท้อนถึงสภาพสังคมที่ระบบชายเป็นใหญ่ครอบงำมาโดยตลอด

ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำคือ
การปรับเปลี่ยนทัศนคติมุมมอง และกระตุ้นเตือนสังคมให้ตระหนักถึงสิทธิอันเท่าเทียมของสตรี
และเคารพในความหลากหลายของกันและกัน #BeBoldForChange

วันสตรีสากล 2017 #แกร่งกล้าเพื่อความเปลี่ยนแปลง