“อนุดิษฐ์ นาครทรรพ” ชี้ปัญหาการเมือง-เศรษฐกิจ รุมเร้า รัฐบาล หมดหนทางแก้ไข ทำคนไทยเดือดร้อนหนัก เรียกร้อง นายกฯ ลาออก

9 กันยายน 2563 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีในเรื่องวิกฤติทางเศรษฐกิจและวิกฤติทางการเมือง โดยไม่มีการลงมติ ว่า ในการอภิปรายครั้งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีถูกให้ฉายาว่า เป็นนายกฯที่ก่อหนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่ล่าสุดได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ ที่ก่อม็อบมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ มีลูกหลานเยาวชน ตั้งแต่ประถมยันอุดมศึกษา รวมตัวกันขับไล่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ออกมาชูสามนิ้ว ผูกริบบิ้นขาว ไล่นายกรัฐมนตรี  

“ผมขอเป็นตัวแทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย ที่มาจากคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชนหลายล้านเสียง ทั่วประเทศ ชูสามนิ้วเพื่อเป็นคำมั่นสัญญา ปฏิญาณตนต่อคนไทยทั้งประเทศว่า เราขอคืนอำนาจอธิปไตยกลับมาให้ประชาชน และจะใช้รัฐสภาแห่งนี้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหาทางออกของประเทศ เพื่อเป็นไปตามข้อเรียกร้องของประชาชน เราขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐ ยุติความรุนแรง ยุติการคุกคาม ยุติการออกหมายเรียก ยุติรัฐธรรมนูญเผด็จการ ตั้ง ส.ส.ร. คืนอำนาจให้ประชาชน”
 
ปัญหาหลักของประเทศไทยวันนี้มีสองปัญหา คือ ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาการเมือง ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในวันนี้มาจากปัญหาการเมือง โดยเฉพาะการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ต่อเศรษฐกิจ ซึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์คือตารางเปรียบเทียบ ประมาณการรายได้จากภาษีอากร กับภาษีอากรที่จัดเก็บได้ จะพบว่า ในปีงบประมาณ 2546-2549 ช่วงของรัฐบาลนายกฯทักษิณ ชินวัตร สามารถจัดเก็บภาษีได้สูงกว่าประมาณการมาโดยตลอด โดยในปีงบประมาณ 2546 สามารถจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการถึง 146,000 ล้านบาทเศษ หรือคิดเป็นร้อยละ 17.1 จนมีการยึดอำนาจ เมื่อเดือนกันยายน 2549 จนกระทั่งเกิดการยึดอำนาจอีกครั้งในปี 2557 การจัดเก็บภาษีจากนั้นมา ต่ำกว่าประมาณการมาทุกปีงบประมาณ บางปีเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการถึง 200,000 กว่าล้านบาท และตั้งแต่ยึดอำนาจในปี 2557 จนถึงปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการรวมกัน 1.06 ล้านล้านบาท ยังไม่นับด้านการก่อหนี้กู้เงินอีกหลายล้านล้านบาท ทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกพ้องล้วนๆ

นอกจากนี้โครงสร้างงบประมาณประจำปี พ.ศ.2564 แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศมีความน่าเป็นห่วง รายจ่ายประจำ 2.526 ล้านล้านบาท และ รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 99,000 ล้านบาท รวมสองรายการ 2.625 ล้านล้านบาท ในขณะที่รายรับหรือรายได้ที่มาจากการจัดเก็บภาษีประมาณการไว้ 2.677 ล้านล้านบาท  ซึ่งรายรับที่มาจากการจัดเก็บภาษีอากร กับรายจ่ายประจำและรายจ่ายเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ประมาณร้อยละ 3 ของที่กู้มาจะใกล้เคียงกันพอดี โดยไม่มีเงินที่จะใช้ในการลงทุนภาครัฐเลยแม้แต่บาทเดียว และในปี 2563 ฟันธงแล้วว่าจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าไป 3 แสนล้าน ผลคือ รัฐบาลจะต้องกู้เงินมาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ อันจะส่งผลกระทบไปยังหนี้สาธารณะที่จะสูงเกินร้อยละ 60 ของจีดีพี ซึ่งอาจทำให้สภาวะ “ความล้มละลายทางการคลังของประเทศ” เกิดขึ้น

ขณะที่รายจ่ายประจำสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุจากรัฐราชการที่เติบโตในเชิงปริมาณ โดยรัฐบาลไม่มีนโยบายอย่างจริงจังที่จะลดจำนวนข้าราชการให้อยู่ในระดับที่ เหมาะสมแต่มีประสิทธิภาพ มีการออกกฎหมายขยายอำนาจหน้าที่ของกองทัพไปอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้จำนวนข้าราชการของกระทรวงกลาโหมมีจำนวนสูงมากและงานไปซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น ซึ่งการมีสัดส่วนจำนวนของข้าราชการต่องานรับผิดชอบที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอยู่ในขณะนี้ จึงกลายเป็นภาระต่อการคลังของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในด้านการลงทุน ในอดีตรัฐบาลนายกฯทักษิณได้เร่งเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้าที่สำคัญทั้งโลก เพื่อให้ไทยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีจากประเทศคู่ค้า แม้จะถูกตัดสิทธิพิเศษอื่นๆ ที่ได้รับมาก่อน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนยังคงมาลงทุนในประเทศไทย แต่น่าเสียดายคือทหารออกมารัฐประหารยึดอำนาจ ทำให้สิ่งที่รัฐบาลของประชาชนเตรียมการเอาไว้ด้วยวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลต้องจบลง การเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา และประเทศคู่ค้าสำคัญถูกตั้งข้อรังเกียจเพราะเป็นรัฐบาลทหารที่มาจากการยึดอำนาจ นั่นเป็นอีกต้นทุนที่ประเทศชาติและประชาชนต้องจ่ายให้กับเผด็จการ ทำให้วันนี้ความได้เปรียบของไทยหมดไป ทั้งที่เกิดจากปัจจัยตามธรรมชาติ และเกิดจากการกระทำของเราเอง

นอกจากนี้ เรื่องที่น่ากังวลขณะนี้คือ การที่รัฐบาลทุ่มเททั้งสิทธิประโยชน์และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้กับ EEC โดยหวังว่าจะใช้เป็นเครื่องจักรสำคัญที่จะฉุดเศรษฐกิจไทย แต่วันนี้นักลงทุนคิดต่างจากรัฐบาล เพราะไทยไม่มีความได้เปรียบที่จะดึงดูดให้มาลงทุนอีกต่อไป ยิ่งมาเจอรัฐบาลที่ไม่เคารพสิทธิมนุษยชนยิ่งไปกันใหญ่ และทุกเรื่องที่นายกรัฐมนตรีทำ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งข้อหาตามอำเภอใจ การไม่เคารพสิทธิพื้นฐานของประชาชน หรือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินล้วนส่งผลกระทบทาง เศรษฐกิจทำให้ประชาชนและนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น

รวมไปถึงผลกระทบที่เกิดจากโควิด-19 ประเทศไทยต้องกำหนดเป้าหมายของประเทศด้านรายได้ เพื่อพิจารณาหาแหล่งรายได้ใหม่ เป็นฐานการผลิตภาษีแทนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ รวมไปถึงเรื่องต่างๆ แต่รัฐบาลกลับคิดแค่การบริหารอำนาจโดยการขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและจับกุมคนเห็นต่าง ที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่กำหนดให้ทุกคนในประเทศจะต้องปฏิบัติตาม ก็กลับใช้ประโยชน์อันใดมิได้

จึงมีข้อเสนอแนะไปยังนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีถึงความจำเป็นที่ประเทศจะต้องเร่งดำเนินการ ดังนี้
(1) ลดรายจ่ายประจำโดยลดจำนวนข้าราชการที่เกินความเหมาะสมและจำเป็นเพื่อนำเงินที่เป็นรายจ่ายประจำมาใช้จ่ายเพื่อการลงทุนให้เกิดผลิตภาพที่มีคุณภาพ
(2) กำหนดเป้าหมายของประเทศเพื่อสร้างฐานการผลิตใหม่ที่ตอบสนองต่อความต้องการของโลก อยู่ในศักยภาพของประเทศและความพร้อมของวัตถุดิบที่ผลิตได้ในประเทศ
(3) เปลี่ยนวิธีการงบประมาณใหม่โดยกำหนดเป้าหมายนำกระบวนการ โดยเป้าหมายดังกล่าวจะต้องมีตัวชี้วัดความสำเร็จในเชิงคุณภาพของผลิตภาพที่ยั่งยืน
(4) เคารพสิทธิ เสรีภาพ และอำนาจของประชาชน รัฐบาลเคารพอำนาจ สิทธิ และเสรีภาพของประชาชน จะทำให้ประชาชนและนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นอันจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐจะต้องเลิกใช้อำนาจข่มขู่คุกคาม ประชาชน และสนับสนุนให้ประชาชนมีรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นผู้ร่าง  

ปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา เชื่อว่าเกิดจากการสืบทอดอำนาจของหัวหน้าคณะรัฐประหารในปี 2557 ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากการยึดอำนาจ และเขียนกติกาให้ตัวเองรักษาเก้าอี้อยู่มาได้จนถึงวันนี้ ซึ่งประชาชนไม่ได้อยากให้นายกรัฐมนตรีและพวกพ้อง บริหารประเทศต่อไป เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองและทำให้คนไทยกินดีอยู่ดีได้ วันนี้ประเทศมีหนี้สินล้นพ้นตัว คนส่วนใหญ่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ เดือดร้อนวุ่นวายไปทุกหย่อมหญ้า ปัญหามากมายที่เกินจะเยียวยา

“สิ่งนี้เป็นเสียงสะท้อนที่เรียกร้องมาจากคนไทยทั้งประเทศ ท่านนายกฯ ลาออกเถอะครับ ถ้าชายชาติทหารอย่างท่าน กล้าหาญเหมือนกับเยาวชนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องความถูกต้องอยู่ในขณะนี้ พออภิปรายจบวันนี้ ท่านนายกฯ ประกาศลาออก ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดในประเทศนี้จะหายไปในทันที และคนไทยจะปรบมือ โห่ร้อง แสดงความยินดีกันทั้งประเทศ”