“ยุทธพงศ์” เดินหน้าค้านซื้อเรือดำน้ำ ในวงประชุม กมธ.งบประมาณ เรียกร้องนายกฯ เห็นแก่ความเดือดร้อนชาวบ้าน เจรจากองทัพเรือให้ยุติ

25 สิงหาคม 2563 นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 พร้อมด้วยนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าในการตรวจสอบการจัดซื้อเรือดำน้ำของรัฐบาล

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ในฐานะ ส.ส. และกรรมาธิการงบประมาณฯ มีหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน 2 ลำ ที่มีมูลค่า 22,500 ล้านบาทนั้นเหมาะสมหรือไม่กับสถานการณ์ในขณะนี้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นทางการเมืองและเงินงบประมาณทั้งหมดนี้ไม่ใช่เงินงบประมาณของกองทัพเรือ แต่เป็นเงินภาษีอากรของพี่น้องประชาชนทุกคน ซึ่งควรถูกนำไปใช้ให้คุ้มค่า และที่สำคัญขณะนี้กำลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ประชาชนกำลังอดอยากและต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 แล้วรัฐบาลก็ไม่มีเงินที่จะช่วยเหลือโดยจะต้องไปกู้เพื่อนำมาแก้ปัญหา ซึ่งรัฐบาลก็กู้เต็มเพดาน จนกู้ไม่ได้แล้ว 

ถ้านำเงินจำนวน 22,500 ล้านบาทนี้ไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่กำลังอดอยากซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนและสำคัญกว่า ส่วนประเด็นที่กองทัพเรือยอมรับว่าไม่มีสัญญาผูกพัน ตั้งแต่ปี 2561-2566 และจะไม่มีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้น เพียงแต่เกรงว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ซึ่งทางรัฐบาลไทยน่าจะสามารถพูดคุยกับทางรัฐบาลจีนได้ว่าในขณะนี้ประเทศไทยกำลังมีวิกฤติเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณ ประชาชนกำลังเดือดร้อน เชื่อว่าประเทศจีนที่เป็นประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ในเอเชียก็น่าจะเข้าใจและอะลุ่มอล่วยให้เราได้ ทั้งนี้ ในส่วนการทำสัญญาซื้อขายระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี จริงหรือไม่นั้น ขอให้ทางกองทัพเรือนำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) มาชี้แจงด้วย และขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีเจรจาให้กองทัพเรือหยุดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ เพื่อเห็นแก่ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่อดอยาก ขอให้เลื่อนออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์การเงินการคลังของประเทศดีกว่านี้

สำหรับการประชุมกรรมาธิการงบประมาณ วันที่ 26 สิงหาคม เวลา 13.00 น. ยังยืนยันว่าจะขอสู้ต่อ เพื่อให้เลื่อนและยกเลิกการจัดซื้อเรือดำน้ำในปีนี้ไปก่อน เพราะไม่ใช่เพียงแค่เรือดำน้ำเท่านั้นที่จะต้องจัดซื้อในโครงการนี้ แต่จะมีค่าดูแลรักษา ค่าบำรุง และอุปกรณ์อื่นๆ รวมเบ็ดเสร็จแล้วสำหรับโครงการนี้กว่า 50,000 ล้านบาท