นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงต่อสถานการณ์ของสังคมไทย วันที่ 15 สิงหาคม 2563

สถานการณ์ของสังคมไทยขณะนี้ กำลังต้องการสติปัญญา และ เหตุผล ในการพิจารณาปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ

…สิ่งที่สำคัญ คือ

• สังคมควรเปิดใจรับฟังมุมมอง ความคิดเห็น ทัศนะที่แตกต่าง และร่วมกันยืนยันว่าการประณามและการข่มขู่คุกคามความเห็นที่แตกต่างนั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ กลับมีแต่จะยิ่งทำให้ประเทศเดินหน้าไปสู่หนทางที่ตีบตัน ซึ่งไม่ได้ส่งผลดีใดๆ เลย

• มุมมองและท่าทีของนักเรียน นักศึกษา เยาวชนที่เกิดขึ้นคือ การสะท้อนความคิดเห็น สะท้อนความหวังซึ่งพวกเขาอยากจะเห็นอนาคตในประเทศที่เขาอยู่ แม้ว่าบางประเด็นที่นำเสนออาจก่อให้เกิดความไม่สบายใจในบางส่วนของสังคมก็ตาม

• การแลกเปลี่ยนกับความเห็นที่แตกต่างอย่างสันติ และการเปิดใจรับฟังอย่างจริงใจเท่านั้น จึงจะนำไปสู่การสร้างทางออกของปัญหา และนำไปสู่การยุติข้อขัดแย้งต่างๆ ได้ในที่สุด

• อยากให้ทุกฝ่ายยึดมั่นตามหลักเหตุผล และร่วมกันสร้าง “พื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัย” เพื่อช่วยกัน แสวงหาคำตอบว่า สิ่งใดคือ หนทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมประชาธิปไตยในประเทศของเรา

…ในช่วงเวลาปัจจุบัน

• เราต้องร่วมกันเรียกร้อง อย่างจริงจัง ให้ทุกฝ่ายใช้เหตุผล และหลีกเลี่ยงอย่างเต็มที่กับความพยายามใดๆ ที่จะแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะต่อเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศ

หากปล่อยให้เกิดการใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะในรูปแบบใด รังแต่จะสร้างความแตกแยก และนำไปสู่การสูญเสียที่มากมายเกินคาดคิด นั่นจะทำให้ประเทศเผชิญกับวิกฤติที่หนักมากขึ้นไปอีก

• “รัฐบาล และกลไกของรัฐ”…ต้อง “ยุติการมองความเห็นต่างเป็นศัตรู และถือเป็นภัยคุกคาม” ที่จะต้องถูกกำจัดและจัดการ เพราะการกระทำเช่นนั้นรังแต่จะสร้างปัญหา และความกดดันทางสังคมที่ไม่รู้จบ

นายกรัฐมนตรีควรทำให้ได้จริงตามที่ได้ประกาศไว้ที่ว่า จะรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ผมอยากจะบอกว่า “เมื่อท่านพูด คนจะฟัง เมื่อท่านทำ คนจะเชื่อ”

• ในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะร่วมกันกับเพื่อนสมาชิกในรัฐสภา เพื่อยื่นญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และดึงประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมกันสร้างกฎ กติกาใหม่ เพื่อให้เกิดสมดุลของความต้องการของทุกภาคส่วนของสังคม

“อยากให้ทุกฝ่าย ช่วยกันสร้างทางเลือกและทางออก ให้สังคมไทยร่วมกัน“