โควิดต้องจบ ! “จตุพร เจริญเชื้อ” … ขอนแก่นจะกลับมายิ้มอีกครั้ง
“นาทีนี้อย่าคิดว่าประชาชนไม่ได้รักตัวเอง ทุกคนต้องการความปลอดภัย ไม่มีใครอยากเจ็บป่วย แต่มาตรการบังคับต่างๆ หากพอที่จะผ่อนปรนให้เขาทำมาหากินได้ ก็ควรจะทำ” จตุพร เจริญเชื้อ ส.ส.ขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 3 พรรคเพื่อไทย บอกเล่าถึงความรู้สึกของชาวบ้านที่ได้รับฟังมาตลอดในช่วงที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
สถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ขอนแก่น ขณะนี้สามารถพูดได้ว่าดีขึ้นเป็นลำดับ ประชาชนตื่นตัวร่วมมือร่วมใจในการป้องกัน สอดส่องดูแลกันในชุมชนโดยละเอียด ทุกฝ่ายช่วยให้กำลังใจกันในการติดตามสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลออกมาว่าผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหาย สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้และไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ล้วนเป็นสิ่งที่คนในพื้นที่ต่างยินดี
แต่ความยินดี ดังกล่าว ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ชาวขอนแก่น สามารถยิ้มมีความสุขอย่างเต็มที่เหมือนที่เคยเป็น
“มาตรการที่เข้มงวดต่างๆ ช่วงโควิดที่ออกมา ต้องแลกด้วยอะไรบ้าง? .. ตรงนี้คือสิ่งที่ผู้มีอำนาจสั่งการต้องคิดด้วย .. เราแลกมากับการทำมาหากินที่ยากลำบากของประชาชนทุกคน พ่อค้าแม่ค้าได้รับผลกระทบทั้งหมด ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ร้านอาหาร ร้านหมูย่าง หมูกระทะ ต้องปิดทั้งหมด คนทำงานในร้านที่เป็นลูกจ้างรายวันได้รับผลกระทบ ทุกอย่างเป็นลูกโซ่กันหมด สุดท้ายหลายคนต้องตกงาน ไม่มีรายได้ ไม่มีสตางค์” ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย อธิบายถึงผลกระทบต่างๆ ที่เกิดกับประชาชน
ส.ส.จตุพร บอกว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง แต่เมื่อภาครัฐประกาศมาตรการเยียวยาก็กลับสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
“มาตรการเยียวยาก็ตกหล่น ลงพื้นที่ไปบางหมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่ง 3-4 ร้อยคน ได้กันไม่กี่คน โดยเฉพาะคนสูงอายุในพื้นที่ ไม่สามารถลงทะเบียนผ่านอินเตอร์เน็ตได้ ตายายในหมู่บ้านมีแค่โทรศัพท์ธรรมดา เอาไว้โทรหาลูกหลาน ไม่ได้มีอินเทอร์เน็ตก็ต้องไปเสียเงินเสียทองจ้างให้คนที่พอมีคอมพิวเตอร์ช่วยลงทะเบียนเยียวยาให้ เสียค่าใช้จ่ายกันไปคนละร้อยสองร้อย เงินร้อยสองร้อยสำหรับคนแก่ตามหมู่บ้านห่างไกล เขาเอาไว้ซื้อข้าวซื้อปลาได้หลายมื้อ ก็ต้องมาเสียกับตรงนี้ แล้วคนยากคนจนในต่างจังหวัด เขาไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อีกกลุ่มหนึ่ง แล้วจะให้พวกเขาไปลงทะเบียนกันอย่างไร บางคนทำงานทั้งวันได้มาแค่ 100-200 บาท จะต้องเสียเงินจ้างลงทะเบียนให้อีกหรือ”
ส.ส.จตุพร บอกว่า วิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบคือการเยียวยาถ้วนหน้าและครอบคลุม โดยง่ายที่สุดคือการใช้ข้อมูลทะเบียนราษฎร์
“จะไปสมัครแอปพลิเคชันเยียวยาทำไม ในเมื่อเรามีฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของมหาดไทย ครบทุกชื่อทุกคน ทุกอาชีพ จะไปคัดกรองอะไรในเมื่อประชาชนทุกคนได้รับผลกระทบและเดือดร้อนเหมือนกันหมด”
ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย เล่าถึงบรรยากาศในพื้นที่หลังภาครัฐผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ว่า ชาวบ้านจะพูดใกล้เคียงกันว่าอยากกลับมาทำมาหากิน แต่มาตรการผ่อนปรนที่ออกมานั้นค่อนข้างจะมีเงื่อนไขรายละเอียดมากมาย สำหรับชาวบ้านในต่างจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าเล็กๆ ถือว่าเป็นอีกปัญหาหนึ่ง
“หลังผ่อนปรนมาตรการ ผมก็ลงพื้นที่ไปเยี่ยมชาวบ้าน ซึ่งเขากำลังเตรียมตัวสำหรับออกมาทำมาหากินกันอีกครั้ง แต่ก็พบว่ามีปัญหามากมาย โดยเฉพาะเรื่องเงื่อนไขรายละเอียดหลายๆอย่างที่ประกาศออกมา อย่าง ผมไปเยี่ยมร้านตัดผมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านเดียวในหมู่บ้าน เป็นร้านเล็กๆ ทำเพิงใต้ถุนบ้านเป็นร้านตัดผม ตัดผมทั้งหัวแค่ 60 บาท ตัดผมคนนึงเขาได้แค่ 60 บาท แต่ต้องมีกำหนดมาว่าต้องตรวจวัดอุณหภูมิช่างตัดผมและลูกค้า ราคาเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิเครื่องละเป็นพันบาท ต้องมีเจลล้างมือราคาลิตรละ 4-5 ร้อยบาท จะต้องมีหน้ากากอนามัยให้ลูกค้า มีแอลกอฮอล์ฉีดล้างทำความสะอาด พวกนี้เราเข้าใจนะว่ามาตรการจำเป็นแต่ขณะเดียวกันก็สร้างภาระให้เขาเกินไปหรือเปล่า นี่ยังไม่ทันตัดผมให้ลูกค้าสักหัวเลย แต่ต้องจ่ายแล้ว 2-3 พันจะเอาเงินจากไหน”
ส.ส.จตุพร บอกว่า ปัญหาหลายอย่างที่สามารถช่วยเหลือเพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านเข้าถึงมาตรการเยียวยาของภาครัฐ รวมไปถึงช่วยให้ทำมาหากินได้หลังมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ก็จะหาทางดำเนินการให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะแอลกอฮอล์ล้างมือ และหน้ากากอนามัย ซึ่งหลายอาชีพต้องเตรียมไว้สำหรับการเปิดกิจการอีกครั้ง
“ชาวบ้านรู้ว่าทำอย่างไรให้ทั้งตัวเองและลูกค้าปลอดภัย แต่เขาต้องการการสนับสนุนบางอย่างที่จำเป็น เพื่อให้มีความพร้อมมากที่สุด อย่าลืมว่า หลายอาชีพต้องหยุดงานไปนานหลังมีมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ไม่มีรายได้ แล้วอุปกรณ์บางอย่างที่ต้องมีอย่างแอลกอฮอล์ล้างมือ หรือเครื่องวัดอุณหภูมิ ราคาก็หลายร้อยหรือนับพันบาท บางร้านมี บางร้านก็ไม่มี ผมก็พยายามหาทางช่วยเขาเต็มที่ เพื่อให้ตัวเขาเองและลูกค้าปลอดภัย”
ในขณะนี้สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลงตามลำดับ ประชาชนทยอยเริ่มกลับมาทำมาหากินท่ามกลางมาตรการทางสาธารณสุขที่ยังเข้มงวด ส.ส.จตุพร เจริญเชื้อ คาดหวังว่ารัฐจะพยายามเข้าใจและใช้มาตรการควบคุมเท่าที่จำเป็นและสมเหตุผล เพื่อให้ประชาชนได้ผ่านช่วงสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน
“สำหรับภาครัฐ ผมอยากบอกว่าทุกวันนี้ชาวบ้านถูกกดดันพอแล้ว ทั้งจากปัญหาการทำมาหากิน โรคระบาดและเคอร์ฟิว บางทีรัฐก็ไม่จำเป็นต้องออกมาตรการให้มากหรือให้เจ้าหน้าที่ติดตามตรวจตราประชาชน กดดันให้ยุ่งยากเกินจำเป็น แค่รัฐอำนวยความสะดวก สนับสนุนให้ ดำเนินชีวิตไปได้โดยที่ยังปลอดภัย นั่นคือสิ่งที่รัฐต้องทำมากที่สุด สำหรับประชาชนชาวขอนแก่นที่รักและช่วยเหลือกันมาตลอดช่วงไวรัสโควิดระบาด ผมเชื่อว่าทุกคนจะแข็งแกร่งขึ้น ผมอยากให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้กันและกัน เป็นกำลังใจให้ตัวเอง โควิดต้องจบ เราชาวขอนแก่นจะกลับมายิ้มด้วยกันอย่างเต็มที่อีกครั้ง” ส.ส.จตุพร เจริญเชื้อ สรุปไว้ในที่สุด