คุณหญิงสุดารัตน์ นำ ส.ส.เพื่อไทย ลงพื้นที่นครราชสีมา เยี่ยมให้กำลังใจประชาชน ห่วง มาตรการรัฐเยียวยาไม่ครอบคลุม ไม่ทั่วถึง

16 พฤษภาคม 2563 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำโดย นายโกศล ปัทมะ ส.ส.นครราชสีมา , นางสาวสรัสนันท์ อรรณนพพร , นายจตุพร เจริญเชื้อ ส.ส.ขอนแก่น , นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ , นายสุปชัย อินทรักษา และ นายรชตะ ด่านกุล อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา ลงพื้นที่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้กำลังใจพี่น้องประชาชน พร้อมมอบถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็น รวมถึงเปิดจุดบริการอาหารให้กับผู้ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ยังได้สอบถามถึงความทุกข์ยากและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ซึ่งหลายคนกังวลว่าอาจเกิดปัญหาการเยียวยาไม่ครบถ้วนทั่วถึง โดยเฉพาะเกษตรกรที่ขาดเอกสารการเช่าตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนด

โดย นายโกศล กล่าวว่า ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างมาก จากการที่ภาครัฐเยียวยาไม่ทั่วถึง อย่างเช่นกรณี เกษตรกรที่เช่าที่นาทำมาหากิน บางคนไม่มีเอกสารการเช่าจากเจ้าของที่ดิน ทำให้ขาดคุณสมบัติและขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิ ซึ่งคนเหล่านี้ถือว่าเป็นคนกลุ่มใหญ่ เพราะชาวไร่ชาวนาในพื้นที่ส่วนมากเช่าที่ดินในการประกอบอาชีพ

ด้าน นางสาวสรัสนันท์ ระบุว่า นอกจากการเยียวยาที่ อาจไม่ทั่วถึงและตรงตามเป้าหมายแล้ว เกษตรกรกำลังเผชิญปัญหา เรื่องการขาดเงินทุน สำหรับการเตรียมเพาะปลูกในฤดูการผลิต ที่กำลังจะมาถึง โดยเฉพาะในพื้นที่อีสาน ภาครัฐควรมีมาตรการดูแลเกษตรกร และเตรียมวิธีการแก้ปัญหาภัยแล้ง เพราะหากเริ่มต้นการหว่านไถ แต่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับพืชผลที่ปลูกได้

ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาครัฐมีวิธีการเยียวยาที่ยุ่งยากล่าช้า ทั้งที่ภาครัฐมีทะเบียนคนจน คนตกงาน และทะเบียนเกษตรกรอยู่แล้ว แต่กลับให้ประชาชนต้องไปขึ้นทะเบียนใหม่ ด้วยความยากลำบาก ทั้งที่เขาได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการของรัฐ การเยียวยาจำเป็นต้องครอบคลุมทั่วถึงนอกจากต้องเร่งเยียวยาเกษตรกรทุกครัวเรือนแล้ว ยังมีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมซึ่งเงินออมพวกเขาก็จ่ายเอง ดังนั้นรัฐต้องเร่งเยียวยาให้ครอบคลุมทั่วถึงคนทุกกลุ่มโดยไม่มีข้อแม้ และเมื่อมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทยจะเสนอแก้ไขกฎหมาย เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกันตนสามารถรับเงินบำเหน็จบำนาญ หรือเงินออมได้ก่อนถึงเวลาเกษียณ รวมทั้งจะร่วมกันทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณจากเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทด้วย