“พิชัย” เตือน “ประยุทธ์” เลิกให้เครือข่ายสร้างความเกลียดชังสหรัฐฯ จะเป็นผลเสียกับไทย
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) กับไทยเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยอีก 231 รายการมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท มีผลวันที่ 30 ธันวาคม ปีนี้ หลังจากที่เพิ่งประกาศตัดสิทธิทางภาษีศุลกากร สำหรับสินค้าไทย 573 รายการมูลค่าเกือบ 40,000 ล้านบาท มีผลตั้งแต่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา
การถูกประกาศตัดจีเอสพี 2 ครั้งติดกันในปีเดียว อีกทั้ง ประกาศก่อนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเพียงอีกไม่กี่วัน น่าจะเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาลไทยทราบว่า สหรัฐฯมีความไม่พอใจกับรัฐบาลไทยอย่างมาก ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี น่าจะพอทราบดีว่ามาจากสาเหตุใดบ้าง
แม้สหรัฐฯจะอ้างสาเหตุต่างๆ แต่สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการปฏิบัติการข่าวสาร (ไอโอ) ของฝั่งรัฐบาล และเครือข่าย พล.อ.ประยุทธ์ ที่พยายามกล่าวหาว่าสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังและเป็นผู้สนับสนุนการชุมนุมของประชาชนจำนวนมากที่ต้องการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ประกอบด้วยนักเรียน นักศึกษาเป็นส่วนใหญ่ และพยายามสร้างความเกลียดชังสหรัฐฯ ขนาดมีมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลไปประท้วงที่หน้าสถานทูตสหรัฐฯหลายหน อีกทั้งให้คนในเครือข่ายออกมาวิจารณ์ต่อว่าสหรัฐฯแบบเสียหาย ซึ่งไม่น่าจะเป็นการกระทำที่ฉลาดนัก แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง และยืนยันจากการได้พูดคุยกับนักการทูตสหรัฐฯ แต่ถ้าหากเป็นจริงแล้วมีการทำไอโอแบบนี้จะเป็นผลเสียทำลายความมั่นคงของ พล.อ.ประยุทธ์ เอง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จะเอาอะไรไปสู้กับสหรัฐฯได้ ไม่ว่าจะในด้านไหน เพราะขนาดประเทศจีนที่แข็งแกร่งยังต้องวุ่นวายอย่างหนักในการรับมือกับสหรัฐฯในหลายรูปแบบ
การทำไอโอดังกล่าวเหมือนเป็นการประกาศความเป็นศัตรูกลายๆกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงอย่างมากในการวางตำแหน่งที่เหมาะสมของประเทศไทย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ควรจะต้องกลับไปทบทวนแนวคิดนี้ เพราะจะเป็นผลเสียต่อประเทศไทยอย่างมาก อย่าให้ประชาชนคิดกันได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ เพียงเพื่อจะพยายามทำลายเครดิตของผู้ชุมนุมและเพื่อเอาตัวรอด จึงเอาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯมาเสี่ยงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งจะส่งผลเสียกับประเทศไทยในระยะยาว
การที่ไทยโดนสหรัฐฯตัดจีเอสพี ถึง 2 หนในปีเดียว จะยิ่งทำให้การส่งออกไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้ว โดยคาดว่าปีนี้อาจจะติดลบถึง -10% จะยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก นอกจากนี้ยังจะทำให้การลงทุนหายไปด้วย เพราะนักลงทุนจะไม่ลงทุนในการผลิตสินค้าที่ถูกตัดจีเอสพี เพราะจะต้องจ่ายภาษีศุลกากรซึ่งจะทำให้แข่งขันยาก และ อาจห่วงว่าจะมีการตัดจีเอสพีในสินค้าอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่ นักลงทุนคงย้ายการลงทุนไปประเทศอื่นที่เขามั่นใจมากกว่าว่าจะไม่โดนตัดจีเอสพีแน่ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นได้ยากมาก
แม้จะอ้างเหตุผลต่างๆที่สหรัฐฯตัดจีเอสพีไทย แต่เรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับคือรัฐบาลไทยไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีที่จะเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯในเรื่องนี้ได้เลย และ พล.อ.ประยุทธ์ ที่อ้างว่าสนิทแนบแน่นกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่น่าจะเป็นความจริง และก็ต้องเชื่อได้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะต้องมีความไม่พอใจรัฐบาลไทยในหลายเรื่อง และน่าจะรวมเรื่องการสร้างความเกลียดชังสหรัฐฯให้เกิดขึ้นในหมู่คนไทยด้วย
ดังนั้น ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็น นายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ นายโจ ไบเดน ที่จะชนะการเลือกตั้ง หากสหรัฐฯเห็นว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ สร้างความเกลียดชังและเป็นภัยต่อประเทศสหรัฐฯ ก็คงไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทยแน่ ตราบเท่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเป็นผู้นำของประเทศนี้ ซึ่งจะทำให้การค้าการลงทุนของไทยที่แย่อยู่แล้ว ยิ่งจะแย่ลงไปอีก โดยไม่มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้เลย ยิ่งตอกย้ำที่เคยบอกไว้แล้วว่า ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ อยู่นาน ยิ่งจะถ่วงความเจริญของประเทศ ดังนั้นหาก พล.อ.ประยุทธ์ รักประเทศจริงตามที่เคยประกาศไว้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ควรจะต้องรีบลาออกไปก่อนที่ปัญหาจะเพิ่มมากขึ้น