“ยุทธพงศ์” เตือนประยุทธ์ กรณีจะนำปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้าที่ประชุม ครม. ย้ำ เพื่อไทยยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ควรรอศาลฯวินิจฉัยก่อน

(10 เมษายน 2564) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเรื่องการระบาดโควิด19, เรื่องสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว และเรื่องการยื่นข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ให้ปปช. โดยนายยุทธพงศ์ เริ่มต้นแถลงข่าวประเด็นการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ที่เกิดรอบใหม่เริ่มต้นจากสถานบันเทิงย่านทองหล่อ โดยกล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด19 ได้ขยายเวลา พรก.ฉุกเฉินทั่วประเทศครั้งที่ 10 มีผลตั้งแต่ 1 – 31 มีนาคม 2564 จากนั้นได้ขยายการบังคับออกไปอีก 2 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 เมษายนถึง 31 พฤษภาคม แต่ปรากฏว่าเกิดการระบาดของโรคโควิด19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มี พรก.ฉุกเฉินบังคับอยู่โดยตลอด แต่ดูเหมือนรัฐบาลไม่ได้ทำอะไรเลย คือประกาศไปอย่างนั้น แล้วท่านจะประกาศ พรก.ฉุกเฉินไปทำไม ผลของการระบาดโควิดรอบ 3 เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เกิดการระบาดเข้าไป 7 กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง ระบาดในกลุ่มนักการเมือง กลุ่มสอง มีเอกอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กลุ่มสาม มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับอธิบดี คืออธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กลุ่มสี่ ดารา นักร้องนักแสดง กลุ่มห้า นางแบบผู้ทำงานสถานบันเทิง กลุ่มหก ข้าราชการตำรวจ ที่ไปดูแลสถานบริการทั้งหลาย ขณะเดียวกัน สถานบันเทิงเหล่านั้นยังเปิดให้บริการได้ถึงตีสี่ตีห้า โดยไม่รู้ว่าพรก.ฉุกเฉิน บังคับใช้อย่างไร กลุ่มเจ็ดคือประชาชนทั่วไปที่มีได้ ไปเที่ยวผับหรือสถานบันเทิงได้ แต่ติดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย ทั้งนี้ผมต้องเรียนว่า การระบาดของโควิดรอบสาม มีผลต่อ ปฏิทินในการเปิดประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้แถลงเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่าเตรียมการจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนก็จะเริ่มนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาโดยกักตัว 7 วัน และถ้าสื่อมวลชนจำได้ เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา มีเครื่องบินเช่าเหมาลำ จากประเทศเยอรมันนำนักท่องเที่ยว จำนวน 14 คน เข้ามาภูเก็ตแล้ว และจะทยอยเข้ามาโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีการกักตัวก่อน และระยะ 2 ก็คือตั้งแต่ 1 กรกฎาคมถึง 30 กันยายน นักท่องเที่ยวก็จะสามารถมาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้โดยมิจำเป็นต้องกักตัว เพียงแต่จะต้องปฏิบัติตนตามวิถีนิวนอร์มอลคือใส่หน้ากาก และรักษาระยะห่างทางสังคม และหลังจากเดือนกันยายนไปแล้ว ก็จะสามารถเดินทางท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งตามปฏิทินแล้ว วันที่ 1 มกราคม 2565 ประเทศไทยก็จะเปิดประเทศโดยสมบูรณ์ โดยไม่ต้องมีการกักตัวในทั้งสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้มีการเตรียมการวางแผน สิ่งที่ท่านทำไว้ไม่มีความรอบคอบระมัดระวังเพราะ เหมือนท่านมีปฏิทินจะเปิดประเทศแต่ขณะเดียวกันในประเทศกลับมีการะบาดโควิด ตั้งแต่มีวัคซีนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ประเทศไทยเพิ่งได้รับวัคซีนไปแค่ 3.5 แสนโดส ซึ่งเรายังมีวัคซีนไม่พอและเมื่อถูกกดดันมากๆ เมื่อวานนี้ก็มีข่าวว่าเมื่อวานนี้ยอมอนุโลมให้เอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนได้เองเพื่อให้เพียงพอกับประชาชน แต่การนำเข้าก็ไม่ใช่จะฉีดได้ทันที ต้องไปขอ อย. และมีกระบวนการฉีดตามขั้นตอน แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลหรือ ศบค.ไม่ได้บริหารจัดการสถานการณ์อะไรเลย มีประชุมกันไปแต่ละสัปดาห์แต่ละเดือนสิ้นเปลืองงบประมาณสิ้นเปลืองเบี้ยประชุมโดยไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อสื่อมวลชนถามว่าโควิดสายพันธ์ที่พบในสถานบันเทิงเป็นสายพันธุ์อังกฤษซึ่งระบาดอย่างรวดเร็วจะแก้ไขปัญหาอย่างไร พลเอกประยุทธ์ตอบว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ท่านพูดเหมือนไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ ท่านเอาชีวิตประชาชน ไปเดิมพันอย่างนั้นได้อย่างไร เหมือนปล่อยให้คนไทยอยู่ไปตามยถากรรม วัคซีนท่านก็ไม่ได้เตรียมให้เพียงพอ ซึ่งถ้าพูดแบบนี้ประเทศไทยก็ไม่ต้องมีนายกรัฐมนตรีแบบนี้ก็ได้

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อถึงประเด็นกรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ล่าสุดมีข่าวว่าคณะรัฐมนตรีจะนำเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายซึ่งรัฐเป็นคนลงทุนทั้งหมด แต่ทำไมจะต้องต่อขยายสัมปทานให้เขาอีกสี่สิบปี ทำไมรัฐบาลต้องไปขอร้องเขาว่าให้เขาช่วยลดราคาค่าโดยสาร 65 บาทซึ่งทางบีทีเอสก็มิได้ยอมลดราคาให้ ซึ่งผมถามว่า อย่างนี้ต้องขอให้พลเอกประยุทธ์ อย่าเพิ่งเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมครม. ฝากไปถึง เลขาฯ ครม. และนายกรัฐมนตรีว่า ตอนนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ยื่นเรื่องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎรไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการใช้มาตรา 44 ประเด็นรถไฟฟ้าสายสีเขียวมิชอบด้วยกฎหมายพลเอกประยุทธ์และคณะรัฐมนตรีซึ่งอนุมัติและขยายต่อสัมปทาน โดยเอื้อประโยชน์ให้มีการผูกขาด แล้วถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าผิด พลเอกประยุทธ์จะต้องกระเด็นจากเก้าอี้นายกฯและรัฐมนตรีไหนใครจะกล้าอนุมัติให้ และคณะรัฐมนตรีใครร่วมอนุมัติก็ต้องรับผิดชอบโดนคดีด้วย เลขา ครม. ถ้าเอาเรื่องนี้เข้า ครม.ก็จะต้องรับผิดชอบ

เรื่องสุดท้าย สืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กรณีการบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการ แต่งตั้งคนสนิทใกล้ชิดขึ้นตำแหน่งสำคัญในกระทรวงศึกษาฯ ในวันจันทร์ที่ 19 เมษายน ตน ส.ส.พรรคเพื่อไทย และทีมกฎหมาย จะเดินทางไปที่ ปปช. สนามบินน้ำ ยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษ กล่าวหานายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน ผู้บังคับบัญชานายณัฐพล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีข้อหาว่าบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลวไร้จิตสำนึกมีความซื่อสัตย์ทุจริตปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตเพื่อสร้างความรวยมั่งคั่งให้ตนเองและพวกพ้อง ปกปิดการกระทำทุจริตของพวกพ้อง ซึ่งนายกรัฐมนตรี รู้อยู่แล้วว่ามีการทุจริตที่กระทรวงศึกษาธิการแต่ไม่ทำอะไร ในฐานะผู้บังคับบัญชานายณัฏฐพลจึงต้องรับผิดชอบ
ส่วนข้อหา ของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตไร้ประสิทธิภาพไร้ความสามารถ ไร้คุณธรรมจริยธรรมไร้สำนึก ขาดวุฒิภาวะและความเป็นผู้นำที่ดี เพื่อให้บุคคล ใกล้ชิดพวกพ้องเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการ มีพฤติการณ์ฉ้อฉลจงใจปกปิดข้อมูลผิดรัฐธรรมนูญกฎหมายข้อบังคับระเบียบ ไม่ยึดหลักยุติธรรมเลือกปฏิบัติ ไม่ยึดถือหลักธรรมาภิบาลในการแต่งตั้งผู้บริหารในกระทรวงศึกษาธิการ แต่งตั้งคนใกล้ชิดขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญ ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะนำไปยื่น ที่ปปช. เพื่อสอบสวนต่อไปครบถ้วนตามที่ได้อภิปรายไปและเป็นสัญญาประชาคมที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชน