“เพื่อไทย” เตือน “ประวิตร” เศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง เงินเฟ้อ ขาดดุลการค้า หนี้เสียพุ่ง ชี้ดอกเบี้ยขาขึ้นจะยิ่งซ้ำเติม แนะเร่งทำตามแนวทางที่ “ เพื่อไทย” แนะนำ
นางสาวจุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางรัก และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากขอเตือนพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกฯ ว่าเศรษฐกิจไทยยังเปราะบางมาก สัญญาณทางเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมสูงถึง 7.86% เพิ่มขึ้นจาก เงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมที่ 7.61% และเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนที่ 7.66% ซึ่งถือว่าสูงมากมาตลอด 3 เดือน ส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งขึ้นไม่หยุด โดยเฉพาะหมวดพลังงาน และหมวดอาหาร แม้แต่ราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็พุ่งขึ้นถึง 7 บาท ราคาก๊าซหุงต้มขึ้นไป 408 บาท/ถัง 15 กก. จากต้นปีที่ 318 บาท/ถัง 15 กก. และค่าไฟฟ้าพุ่งถึง 4.72 บาท/หน่วย จากหน่วยละ 4.00 บาท รวมไปถึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทุกชนิด สร้างความลำบากอย่างแสนสาหัสให้กับประชาชนอย่างมาก เพราะประชาชนรายได้ยังไม่เพิ่มแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งแม้กระทั่งค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นก็ขึ้นไม่เท่ากับราคาข้าวของที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ราคาสินค้าที่ขึ้นแล้วจะไม่ยอมลดราคาลง คือ ขึ้นแล้วขึ้นเลย แม้ในอนาคตเงินเฟ้ออาจจะลดลงก็ตาม
ในขณะที่การส่งออกของไทยในเดือนกรกฎาคมเริ่มแผ่ว ขยายตัวได้เพียง 4.3% เท่านั้น แต่ที่น่าห่วงคือ แม้การส่งออกขยายตัว แต่การนำเข้าขยายตัวมากกว่า ทำให้ไทยขาดดุลการค้าในเดือนสิงหาคมสูงถึง 3,660.5 ล้านดอลลาร์ และ 7 เดือนปีนี้ ขาดดุลการค้าไปแล้วถึง 9,916.3 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากการท่องเที่ยวไม่เพิ่มขึ้นตามคาด ประเทศไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายต่อเศรษฐกิจ
ปัญหาเงินเฟ้อ ข้าวของแพง และ ปัญหาขาดดุลการค้า ส่วนใหญ่มาจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ลดลงมาก เหลือเพียงบาเรลละต่ำกว่า $90 แล้ว เแต่ราคาน้ำมันดีเซลของไทยยังสูงมากถึงลิตรละ 34.94 บาท ซึ่งในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ $110 ต่อบาเรล แต่ราคาน้ำมันดีเซลยังอยู่ที่ลิตรละ 29.95 บาท เท่านั้น จึงอยากถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เป็นความแตกต่างในฝีมือการบริหารเรื่องพลังงานใช่หรือไม่ ซึ่งหากสามารถลดราคาน้ำมันลงมาได้ ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลง เงินเฟ้อก็จะลดลง ราคาสินค้าก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นราคาอีก
นอกจากนี้ทิศทางของดอกเบี้ยที่น่าจะสูงขึ้น ตามอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่น่าจะพุ่งขึ้นอีก และ อียูน่าจะกำลังประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% เช่นกัน จะยิ่งเพิ่มภาระให้กับประชาขนและภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น ทั้ง น้ำมันแพง ไฟฟ้าแพง ดอกเบี้ยแพง ซึ่งหากพลเอกประวิตรรับมือไม่ดี สภาวะเศรษฐกิจจะยิ่งทรุดหนัก
ดังนั้นจึงอยากให้ได้ศึกษาข้อเสนอของคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยทั้ง 8 ข้อ ที่ได้เสนอไว้แล้ว ทั้งการแก้ไขหนี้ การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน การเจรจาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา การเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยว การเร่งสร้างรถไฟความเร็วสูง หนองคาย – เวียงจันทน์- จีน การแก้ราคาสินค้าแพง การรับมือดอกเบี้ยขาขึ้น และ เร่งปล่อยตัวประชาชนผู้เห็นต่าง โดยเฉพาะเยาวชน ซึ่งจะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้