“เพื่อไทย” เรียกร้องรัฐบาล ยุติการเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง จากโครงการรับจำนำข้าว
แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย
เรื่อง
เรียกร้องรัฐบาลยุติการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากโครงการรับจำนำข้าว
ตามที่รัฐบาลโดยความเห็นชอบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
และหัวหน้า คสช. เตรียมการที่จะออกคำสั่งทางปกครองให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี ชำระค่าเสียหายที่อ้างว่าเกิดจากการดำเนินการ “โครงการรับจำนำข้าว” เป็นจำนวนเงินประมาณ
35,000 ล้านบาท นั้น
พรรคเพื่อไทยได้พิจารณาถึงข้อเท็จจริง หลักกฎหมายและเหตุผลทั้งปวงแล้วเห็นว่า
การใช้คำสั่ง ทางปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายจากการดำเนินนโยบายสาธารณะของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญนั้นไม่อาจกระทำได้
และขัดต่อกฎหมาย หลักนิติธรรม และพันธกรณีระหว่างประเทศ ด้วยเหตุผล ดังนี้
1. โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
ซึ่งรัฐบาลจะต้องปฏิบัติ ให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าวตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
อันถือเป็นการดำเนินนโยบายสาธารณะ เพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
จึงไม่อาจใช้เกณฑ์เรื่องกำไรหรือขาดทุนเพื่อกำหนดความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินได้
เช่นเดียวกับนโยบายสาธารณะอื่นๆ
การดำเนินการดังกล่าวจึงไม่อาจถือว่าเป็นการทำละเมิดที่จะนำมาเป็นเหตุเพื่อเรียกค่าเสียหายจากนายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องได้
2. รัฐบาลนี้ได้อำนาจมาโดยผลพวงจากการที่
คสช. ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลเดิมที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นหัวหน้า คสช.
และนายกรัฐมนตรีได้แสดงความคิดเห็นผ่านสาธารณชนหลายครั้งว่าไม่เห็นด้วยกับ “โครงการรับจำนำข้าว” รัฐบาลจึงขาดความเป็นกลาง
และถือเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับอดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้น
การที่รัฐบาลจะใช้วิธีการออกคำสั่งทางปกครอง
เพื่อเรียกค่าเสียหายและใช้คำสั่งของหัวหน้า คสช.
เปลี่ยนแปลงกลไกทางกฎหมายปกติให้อำนาจของหน่วยงานรัฐ ยึด อายัด
ทรัพย์สินอดีตนายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องได้ทันทีโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมทางศาล
และศาลยังมิได้มีคำพิพากษา การกระทำดังกล่าวเป็นการทำละเมิดหรือไม่นั้น
จึงเป็นการกระทำที่ขาดความชอบธรรมและละเมิดสิทธิของอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรม
กรณีดังกล่าวหากรัฐบาลเห็นว่ามีการทำละเมิดและประสงค์จะเรียกค่าเสียหาย
ก็ควรใช้ช่องทางฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดว่าได้มีการทำละเมิดจริงหรือไม่
3. กระบวนการเรียกให้ชำระค่าเสียหาย
โดยใช้วิธีการออกคำสั่งทางปกครองล้วนเกิดจากรัฐบาลและ คสช.
ที่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ
ในการตรวจสอบและกำหนดค่าเสียหายโดยอ้างว่าเกิดความเสียหายต่อหน่วยงานของรัฐ ทั้งๆ
ที่การดำเนินโครงการดังกล่าว หน่วยงานของรัฐเท่านั้นเป็นผู้ทำนโยบายไปปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น
คณะกรรมการดังกล่าวก็อยู่ในการกำกับหรือการบังคับบัญชาของรัฐบาลและ คสช.
ที่สามารถจะชี้นำการดำเนินการได้ทุกอย่าง
การตรวจสอบและการเรียกค่าเสียหายจึงขาดความเป็นกลางและไม่สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องเที่ยงธรรมได้
จึงขัดต่อหลักนิติธรรม
4. พรรคเห็นว่าแทนที่รัฐบาลจะเรียกค่าเสียหายจาก
น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยใช้กลไกทางคดีแพ่งปกติ
และใช้กฎหมายที่มีอยู่ แต่รัฐบาลและหัวหน้า คสช.
กลับเลือกที่จะใช้วิธีออกคำสั่งทางปกครอง และอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ คสช. ร่างขึ้น ออกคำสั่งฉบับที่ 39/2558 และ ฉบับที่ 56/2559
โดยให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งให้ไม่ต้องรับผิด
และให้อำนาจกรมบังคับคดีบังคับทางปกครองแทนที่จะเป็นหน่วยงานปกติ
จะส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถถูกตรวจสอบตามกฎหมายปกติได้
จึงเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ขัดต่อหลักความเสมอภาคที่กำหนดว่าบุคคลย่อมอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
อันถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามที่กำหนดโดยรัฐธรรมนูญ
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม
5. มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มีเนื้อหาขัดหลักการประชาธิปไตย
ขัดหลักนิติธรรม และขัดหลักการแบ่งแยกอำนาจ อำนาจตามมาตรานี้มิได้มาจากความยินยอมของประชาชนแต่เป็นสิ่งที่หัวหน้า
คสช.เขียนให้อำนาจตนเอง ยิ่งกว่านั้น มาตรา 44
ได้กำหนดเงื่อนไขที่หัวหน้า คสช.จะสามารถใช้อำนาจได้
ซึ่งพรรคเห็นว่าการออกคำสั่งฉบับที่ 39/2558 และ ฉบับที่ 56/2559 มิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่มาตรา 44 กำหนดไว้ ดังนั้นการใช้อำนาจตามมาตรา 44
ออกคำสั่งดังกล่าวจึงขัดหลักนิติธรรม
จากการที่กฎหมายเปิดช่องให้รัฐบาลสามารถดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งโดยการฟ้องต่อศาลแพ่ง
ดังเช่นที่เคยยื่นฟ้องอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาแล้ว
รัฐบาลในขณะนั้นมิได้มีที่มาจากการรัฐประหารและมิได้เป็นคู่ขัดแย้งกับจำเลยคนดังกล่าว
แต่ก็ยังเลือกใช้วิธีการฟ้องต่อศาลแพ่ง ในทางกลับกัน
รัฐบาลปัจจุบันซึ่งมาจากการรัฐประหารซึ่งทำให้รัฐบาลที่ดำเนินนโยบายจำนำข้าวต้องพ้นไป
จึงควรต้องดำเนินการด้วยความเป็นกลาง และเป็นธรรมต่อผู้ที่ถูกกล่าวหา
เพื่อให้สาธารณชนได้รู้สึกว่ากระบวนการทั้งปวงไม่ใช่การดำเนินการที่มีแรงจูงใจทางการเมือง
แต่เป็นการดำเนินการทางกฎหมายที่มีความเป็นกลางทางการเมือง ตามหลักนิติธรรม
และสิทธิมนุษยชน
จากเหตุผลข้างต้น
พรรคเพื่อไทยจึงไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้วิธีการออกคำสั่งทางปกครองให้อดีตนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดและชำระค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว
หากรัฐบาลและ คสช. ประสงค์ที่จะพิสูจน์ว่ามีการทำละเมิดจริงหรือไม่
และใครเป็นผู้ทำละเมิดรวมถึงมีความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไรในโครงการรับจำนำข้าว
รัฐบาลและ คสช. ควรสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองที่ดี
ยึดมั่นในหลักนิติธรรมและปฏิบัติตามกฎหมายโดยการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง
ดังเช่นที่เคยกระทำมาในอดีต
เพื่อให้ศาลแพ่งเป็นผู้พิจารณาตัดสินเรื่องความรับผิดทางแพ่งและกำหนดค่าเสียหาย
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย อันจะเป็นการผดุงความยุติธรรมที่แท้จริง
พรรคเพื่อไทยเชื่อว่าการเคารพหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน จะนำไปสู่ความยุติธรรม
และความสามัคคีปรองดองของคนในชาติต่อไป
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
พรรคเพื่อไทย
12 ตุลาคม 2559