แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่อง ขอเรียกร้องให้ คสช. และรัฐบาล ยุติการคุกคามสิทธิ เสรีภาพ และหยุดแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพื่อเอาผิดกับฝ่ายที่เห็นต่างจากตน

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย

เรื่อง ขอเรียกร้องให้
คสช. และรัฐบาล ยุติการคุกคามสิทธิ เสรีภาพ

และหยุดแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
เพื่อเอาผิดกับฝ่ายที่เห็นต่างจากตน

  ตามที่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าภายหลังการรัฐประหาร
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา ได้มีการจับกุมและดำเนินคดีกับบุคคลที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่างทางการเมืองหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและ
คสช. อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการคุกคามต่อบุคคล นักวิชาการและสถาบันทางวิชาการที่จัดเสวนาทางวิชาการเพื่อแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ
ด้วย โดยอาศัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
และกฎหมายอื่นๆ และคำสั่งของหัวหน้า คสช. ที่ 7/2557
ที่ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนขึ้นไป เป็นเครื่องมือ
โดยล่าสุดมีการจับกุมดำเนินคดีกับอาจารย์และนักศึกษาจำนวน
5 คน เพียงแค่การชูป้าย  “เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร”
เท่านั้น จนเป็นเหตุให้มีนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนกว่าพันคนลงชื่อคัดค้านการกระทำดังกล่าวของกลุ่มผู้มีอำนาจ

  พรรคเพื่อไทย เห็นว่า แม้ คสช.
และรัฐบาลจะมาจากการยึดอำนาจ แต่ก็ไม่ควรจะเสพติด  กับการใช้อำนาจจนเกินไป
เพราะขณะนี้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แล้ว
ซึ่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้รับรองและคุ้มครองเสรีภาพในการแสดง  ความคิดเห็นของบุคคลและเสรีภาพทางวิชาการไว้
 คสช. และรัฐบาลควรต้องตระหนักให้บุคคลได้ใช้เสรีภาพดังกล่าวได้
ไม่ใช่ใช้มาตรการทางกฎหมายเป็นเครื่องมือไปปิดกั้นการใช้เสรีภาพของบุคคลดังเช่นที่เป็นอยู่

มิฉะนั้นแล้วการเขียนรับรองเสรีภาพดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญก็จะเป็นเพียงตัวอักษรไม่ได้เกิดผลในทางปฏิบัติแต่อย่างใด
ข้อสำคัญการดำเนินคดีกับบุคคลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 นั้น
ต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบของความผิดเป็นสำคัญด้วย โดยเฉพาะเรื่องเจตนา และเจตนาพิเศษ
หรือมูลเหตุจูงใจของผู้กระทำ ซึ่งพรรคเห็นว่าการแสดงออกของนักวิชาการ นักศึกษาและประชาชนที่ถูกจับกุมดำเนินคดีนั้น
มิได้เข้าองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 116 รวมถึงกรณีอื่นๆ อีกหลายคดี
การใช้ข้ออ้างเรื่องความมั่นคง หรือความผิดในข้อหาต่างๆ เท่าที่จะกำหนดได้ เข้าดำเนินคดีกับบุคคลและผลักให้เป็นภาระของผู้ถูกกล่าวหาให้พิสูจน์ตนเองนั้น
ถือเป็นการบิดเบือนการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อปิดปากผู้เห็นต่างโดยแท้
ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อกระบวนการสร้างความสามัคคีปรองดอง
เพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นของ
คสช. แต่ทุกคนถือเป็นเจ้าของประเทศ
การดำเนินการใดที่จะมีผลกระทบถึงประชาชนก็ควรต้องรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้เกิดความหลากหลาย
แม้จะเป็นความเห็นที่แตกต่างหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและ คสช.
ก็ต้องรับฟัง จะฟังเฉพาะพวกที่มีความคิด ประจบสอพลอ หรือที่ได้ตำแหน่งจาก คสช.
และรัฐบาล ไม่ได้ อย่ามองประชาชน นักวิชาการ
หรือบุคคลในฝ่ายการเมืองที่อยู่คนละฝ่ายกับตน เป็นฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรูทางการเมืองที่ต้องกำจัด
มิฉะนั้นแล้วความสามัคคีปรองดองที่ทุกฝ่ายมุ่งหวัง ไม่มีหนทางที่จะสำเร็จลงได้ นอกจากนั้น คสช. และรัฐบาลต้องไม่เข้าไปแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
เช่น ชั้นสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ องค์กรอิสระ
รวมถึงองค์กรอัยการ ซึ่งเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรมก่อนคดีจะไปถึงศาล
  ควรปล่อยให้เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนรับผิดชอบได้ทำหน้าที่และใช้ดุลยพินิจของตน
ไปตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และไม่เลือกปฏิบัติ

  พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้
คสช. และรัฐบาล ยุติการคุกคามสิทธิ เสรีภาพ และหยุดแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
เพื่อเอาผิดกับฝ่ายที่เห็นต่างจากตน 
และต้องเปิดใจกว้าง ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคล  และเปิดโอกาสให้มีการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในการแสดงความคิดเห็น
ได้
ตราบใดที่การดำเนินการดังกล่าวไม่เป็นการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของบุคคลอื่นหรือละเมิดกฎหมาย
ไม่ใช่แต่จะใช้กฎหมายเพื่อปิดปากบุคคลไว้ก่อนดังเช่นที่เป็นอยู่
ทั้งนี้ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศมีประสิทธิภาพ
และผู้มีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในทุกขั้นตอน ไม่ถูกแทรกแซงจากฝ่ายใด

  จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

     พรรคเพื่อไทย
     7 กันยายน 2560