“7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน” แถลงยืนยันบริสุทธิ์ใจรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ ย้ำ ไม่แตะหมวด 1-2

(4 ต.ค. 62) ที่พรรคเพื่อไทย แกนนำ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกอบด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค ในฐานะประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ นายสมพงษ์ สระกวี ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังการประชุมร่วม 7 พรรค กรณี กอ.รมน. แจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำพรรคที่ขึ้นเวทีเสวนารณรงค์แก้รัฐธรรมนูญที่จังหวัดปัตตานี 

รศ.ชูศักดิ์ กล่าวว่า การเสวนาที่จังหวัดปัตตานีเป็นการพูดคุยปัญหาในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ซึ่งนักวิชาการก็ได้พูดข้อมูลในมุมมองเชิงวิชาการ แต่ถ้าคิดว่าจะเข้าข่ายคดีอาญา มาตรา 116 เพราะ 1. ต้องแสดงความเห็นที่ยั่วยุที่ให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาล ที่สำคัญคือต้องใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย 2. มูลเหตุจูงใจต้องให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศ และ 3. ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายแผ่นดิน คนแจ้งความคงคิดว่าการพูดอะไรแก่สาธารณะ และกระทบต่อรัฐนิดหน่อย ก็แจ้งความตามมาตรา 116 ได้ โดยไม่ได้ดูองค์ประกอบให้ชัดเจน โดยเฉพาะองค์ประกอบใน 3 ประการที่กล่าวมา ดังนั้นตนคิดว่าการเสวนาที่จังหวัดปัตตานี ต้องทบทวนว่า มีการใช้กำลังประทุษร้าย มีการขู่เข็ญ ต้องการให้เปลี่ยนแปลงกฎหมายแผ่นดิน เกิดความไม่สงบเรียบร้อยแก่บ้านเมืองหรือไม่ ซึ่งเวทีเสวนาที่จัดขึ้นไม่มีองค์ประกอบเหล่านี้ เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็น ใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งขาดเจตนาองค์ประกอบโดยเฉพาะมูลเหตุจูงใจ จึงมองว่าการใช้มาตรา 116 มาดำเนินคดี จึงเป็นการกระทำที่มุ่งหวังผลทางการเมืองเช่นเดิม และข้อสำคัญที่สุดได้มีการเผยแพร่คลิปของนักวิชาการที่พูดบนเวที จากการฟังยืนยันว่าเป็นความคิดเห็นทางวิชาการ ไม่ได้มีการยุยงปลุกปั่น และในส่วนของ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็อยากให้นำร่างรัฐธรรมนูญที่ได้ประชุมกันไว้ ไปเปิดดูมาตรา 1 ที่เขียนไว้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 อยู่แล้ว ซึ่งชัดเจนว่าเราไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดผลกระทบในเรื่องดังกล่าว จึงมีข้อต่อสู้ และย้ำว่าการดำเนินคดี เป็นการใช้บทบัญญัติมาตรา 116 ที่ฟุ่มเฟือย เพื่อปิดปากนักการเมือง เบี่ยงเบนประเด็น หวังผลทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง
 

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า การแจ้งความดำเนินคดี ปกติคดีอาญาจะเป็นการร้องทุกข์กล่าวโทษ ซึ่งคดีนี้ไปร้องทุกข์โดยใช้ตำแหน่งของ กอ.รมน. ซึ่งตามกฎหมาย กอ.รมน. อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี ก็อาจทำให้มองได้ว่า นายกรัฐมนตรี เป็นผู้สั่งการในทางกฎหมาย ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นนโยบายเร่งด่วนของนายกฯ จึงต้องอาจมีการพูดคุยในอีกมิติ และตอนนี้ก็ไม่ได้มีมาตรา 44 ดังนั้น กอ.รมน. จะต้องปฏิบัติตามมติ ครม. และนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น 


นายสงคราม กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ขอยืนยันว่า เราแสดงความเห็นด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ผู้มีอำนาจก็พยายามดึงเราให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหมวด 1 และ หมวด 2 ซึ่งเรายืนยันมาตลอดว่า เราจะไม่แตะต้อง นอกจากนี้ การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องผ่าน ส.ส.ร. ซึ่งไม่มีใครสามารถไปชี้จุดว่าจะให้แก้แบบไหนอย่างไรได้ และเราไม่เคยบอกเลยว่าจะต้องแก้จุดไหน เราให้เป็นสิทธิของประชาชนว่าต้องการที่จะแก้แบบไหน สำหรับใครบางคนที่ยังไม่เข้าใจ พยายามดึงเราเข้าไปในวังวนของความขัดแย้ง ก็ช่วยพิจารณาด้วย 


นายนิคม กล่าวว่า อย่าคิดว่าขณะนี้ยังอยู่ในยุค คสช. การแจ้งความประชาชนที่เห็นต่างกับรัฐบาล เราอยากให้หยุด เพราะตอนนี้เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตยแล้ว แม้จะไม่เต็มใบก็ตาม ทั้งนี้ ส.ส. จาก 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน เรามาจากการเลือกตั้งของประชาชน การแจ้งความกับพวกเรา เท่ากับแจ้งความกับประชาชน อยากให้ท่านไปแจ้งความอย่างอื่นมากกว่า แน่จริงก็ไปแจ้งความ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ถวายสัตย์ฯไม่ครบด้วยสิ อย่างไรก็ตาม เราจะเดินหน้าทำงานต่อไป เพราะเราถือว่าเราไม่ได้ทำผิดอะไรเลย อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคมนี้ เราจะเดินทางไปแจ้งความกลับ โดยกำลังพิจารณาว่าจะไปที่กองบังคับการปราบปราม หรือที่สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี
 


นายอนุสรณ์ กล่าวว่า เรา 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านยืนยันเจตนารมณ์ที่จะรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยืนยันรัฐธรรมนูญปี 2560 แก้ไขได้ และอยู่ในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล แต่จะไม่มีการแตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 ดังนั้น จะมาใช้ข้อกฎหมายปิดปากพวกเราไม่ได้