“ชวลิต” เรียกร้อง รัฐบาลใส่ใจคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นลำดับแรก เสนอ “ปฏิวัติเขียว” ทำโครงการเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ

(2 พ.ย. 62) นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นประเด็นการแบน 3 สารพิษร้ายแรงของคณะกรรมการวัตถุอันตราย , การร้องศาลปกครองของกลุ่มที่สนับสนุนการใช้สารเคมี และล่าสุดข่าวการขอทบทวนการแบนไกลโฟเซต ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า คงต้องออกมาสื่อสารข้อมูลอย่างแรงๆ ไปยังประชาชนชาวไทยทุกคนจะได้ตระหนักร่วมกันว่า ปัจจุบันคนไทยเสี่ยงตายผ่อนส่งจ่อประตูบ้านทุกครัวเรือนจากผักผลไม้ที่ปนเปื้อนสารเคมีเกินค่ามาตรฐานหลายสิบเท่า 

     

     

โดย นายชวลิต กล่าวว่า ขอขอบคุณ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ รมช.เกษตรฯ ที่แอบย่องไปสุ่มตรวจผักผลไม้ที่ด่านเชียงแสน พบการปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานถึง 100% นับเป็นช็อกแรกที่ทำให้หดหู่ว่า ทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหละหลวม ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ไม่มีมาตรการเฝ้าระวังในการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพเพื่อคุ้มครองคุณภาพชีวิตของคนไทย หลังจากที่ตนและคณะไปตรวจที่ด่านเชียงของ ก็พบว่าไม่มีห้องแล็บสำหรับสุ่มตรวจผักผลไม้ที่นำเข้าจากต่างประเทศแต่อย่างใด แล้วผักผลไม้นั้นก็ส่งมาป้อนผู้บริโภคชาวกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นส่วนใหญ่ ช็อกที่สอง ในการประชุม กมธ. ได้ข้อมูลจาก BIO-THAI ว่า ปัจจุบันจากการสุ่มตรวจผักผลไม้ พบว่ามีสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน เฉลี่ยที่ 41% ในขณะที่ ญี่ปุ่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา หากพบเกิน 2-3% ประชาชนก็โวยแล้ว ในส่วนของรัฐก็ห้ามจำหน่ายสินค้าดังกล่าว แต่ของไทย ขายกันอย่างเสรี ไร้การเฝ้าระวัง ไร้การตรวจสอบอย่างจริงจัง

            

“จากสถิติผักผลไม้ มีการปนเปื้อนสารเคมีเกินค่ามาตรฐานทั้งนำเข้าและภายใน ดังกล่าวข้างต้น  ถึงเวลาแล้วที่ต้องเลิกเกรงใจกัน เพราะภัยเงียบได้คุกคามมาถึงทุกครัวเรือนแล้ว และเห็นได้ชัดว่า ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหละหลวม ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อีกทั้งรัฐบาลก็ละล้าละลังไม่จัดลำดับความสำคัญให้คุณภาพชีวิตคนไทยมีความสำคัญเป็นลำดับแรก ที่ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาก่อน”

             

นายชวลิต กล่าวต่อไปว่า ตนจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนไทยถึงตายด้วยโรคมะเร็งมาเป็นอันดับ 1 มากว่า 10 ปี มีสถิติการตายที่เผยแพร่โดยกระทรวงสาธารณสุข ว่าคนไทยตายด้วยโรคมะเร็ง ชั่วโมงละ 8 คน วันละเฉียด 200 คน นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลเด็กไทยเกิดใหม่เป็นออทิสติกมากขึ้น ไอคิวเด็กไทยต่ำลงๆ นับเป็นข้อมูลที่น่าสะพรึงกลัวมาก ยิ่งเห็นวิสัยทัศน์ของอดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตรที่ออกมาคัดค้านการแบน 3 สารพิษร้ายแรง ทั้งกล้าประกาศว่าประเทศไทยไม่มีทางทำเกษตรอินทรีย์เป็นผลสำเร็จแล้วยิ่งเศร้าใจ เพราะวิสัยทัศน์ดังกล่าว ตรงข้ามกับสิ่งที่ตนและคณะ กมธ. ที่เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจเกษตรกรจังหวัดหนองบัวลำภูที่ประสบเคราะห์กรรมเจ็บป่วยจากการใช้ยาปราบวัชพืช ต้องตัดขาจำนวนมาก สิ่งแวดล้อมเสียหาย แต่ปัจจุบันทุกภาคส่วนในจังหวัดได้ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสที่จะร่วมกันตั้งเป้าหมายให้จังหวัดหนองบัวลำภูเป็นโมเดลที่จะทำโครงการเกษตรอินทรีย์ให้เป็นผลสำเร็จให้ได้

           

นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลโปรดแสดงความจริงใจต่อการรักษาคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นลำดับแรก มากกว่าประโยชน์อย่างอื่น ต้อง “ปฏิวัติเขียว” ให้โครงการเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติเท่านั้น ถึงจะฟื้นฟูประเทศให้ประชาชนคนไทยรอดตายผ่อนส่ง

          

“จากการเตือนแรงๆครั้งนี้ หวังว่าสังคมจะร่วมกันตระหนักถึงภัยเงียบจากสารเคมีปนเปื้อนผักผลไม้เกินค่ามาตรฐาน นับเป็นภัยต่อความมั่นคงที่จ่อประตูทุกครัวเรือน ถึงเวลาแล้วที่คนไทยควรเรียกร้องสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่รัฐต้องปกป้องคุ้มครองชีวิตคนไทยและสิ่งแวดล้อม ให้ปลอดภัย หากรัฐบาลเพิกเฉย หรือเอื้อประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนส่วนใหญ่ ก็เป็นเรื่องที่ประชาชนสามารถใช้สิทธิปกป้องตนเองได้ตามรัฐธรรมนูญ”