“ชุมสาย” ชี้ การเสียบบัตรแทนกัน คือเจตนาทุจริต มีความผิดและมีโทษทุกกรณี ห่วง “วิษณุ” ทำสังคมสับสน กระทบกระบวนการยุติธรรม
(25 ม.ค. 63) นายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ส.ส. พรรคหนึ่งเสียบบัตรแทนกันในการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ พ.ศ.2563 และมีความพยายาม ทั้งจากฝั่ง ส.ว. และ ส.ส. แสดงความเห็นว่าทำได้ไม่ขัดต่อกฎหมายนั้น ตนเห็นว่า โดยหลักบัตรประจำตัว ส.ส. คนใดคนนั้นเท่านั้นมีอำนาจ สิทธิในการออกเสียงเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตัวของ ส.ส. คนเดียว ไม่มีสิทธิมอบให้ผู้อื่นใช้สิทธิแทนได้ ดังนั้น ต้องถือว่า การเสียบบัตรแทนกันทำไม่ได้ มีความผิดในทุกกรณี จึงขอวิงวอนว่า อย่าพยายามหาทางออกแบบศรีธนญชัยตีความให้ผิดไปจาก เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และหลักความสุจริต ตามวิถีทางในครรลองประชาธิปไตย เรื่องนี้ถือว่าผู้กระทำมีเจตนาทุจริต มีความผิดและมีโทษตามกฎหมาย และถือว่าตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มีผลเป็นโมฆะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1) ซึ่งเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ในอดีตได้เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวางหลักเป็นบรรทัดฐานไว้อย่างมั่นคงแล้วในคดีเลขที่ 3-4/2557
“ผมขอชื่นชมความเห็นของท่านชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ที่บอกว่า ไม่ว่าจะเสียบบัตรแทนกันในกรณีใดก็ทำไม่ได้ แม้เครื่องลงคะแนนมีไม่พอก็ตาม ถือว่ามีความผิดทั้งสิ้น”
นายชุมสาย กล่าวต่อว่า การที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย ที่มักจะออกมาให้ความเห็นทำนองชี้ถูกผิดตามกฎหมายในประเด็นคดีทางการเมือง ทั้งที่เป็นอำนาจตุลาการ ซึ่งคดียังไม่ไปสู่ศาลและยังไม่มีคำวินิจฉัย ทั้งในกรณีนี้ และหลายกรณีที่ผ่านมา จะโดยอาศัยหลักกฎหมายหรือใช้อภินิหารนั้น จะถือเป็นการไม่สมควรที่ไปก้าวล่วงดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นการชี้นำ และทำให้สังคมเกิดความสับสนได้ เพราะได้กล่าวว่า การเสียบบัตรแทนกันไม่ถือเป็นการเสียหาย ทั้งยังกล่าวว่า เอาบรรทัดฐานในอดีต ตัดสินปัจจุบันไม่ได้
“นักกฎหมายเราโดยทั่วไปทราบดีว่า ความยุติธรรมของประเทศต้องไม่มีอภินิหาร ศาลท่านจะวินิจฉัยคดีตามข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและ พยานหลักฐาน บรรทัดฐานที่ถูกวางหลักไว้ก็เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และไม่ได้ผูกพันเฉพาะคดีใดคดีหนึ่งเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นการผูกพันในทุกคดี ที่มีข้อหาและข้อเท็จจริง เช่นเดียวกัน และไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคู่ความฝ่ายใดหรือของใคร แต่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนเป็นหลัก”