“วัฒนรักษ์” ชี้ ประชาชนหมดศรัทธา “ประยุทธ์” เชื่อ ศึกซักฟอกครั้งนี้ไม่รอดแน่
(30 ม.ค. 63) ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภายในวันที่ 31 ม.ค.นี้ จะมีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งข้อมูลทั้งหมดได้อยู่กับหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่จะมีการหารือร่วมกันครั้งสุดท้ายภายในวันนี้เพื่อสรุปรายชื่อของรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปราย แต่ เป้าหมายหลักก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะตลอดระยะเวลาที่ได้บริหารราชการงานแผ่นดินมาเกือบ 6 ปี นั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแย่ลงทุกวัน และยังไม่มีนโยบายที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน ทั้งปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นมาตลอด 3 ปี เพียงเพราะรัฐบาลมีแต่แผนงานแต่ไม่มีโครงการที่สามารถใช้แก้ปัญหาได้ใช่หรือไม่ และได้เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาอีก ก็ยังไม่เห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจากรายงานของเว็บไซต์ thewuhanvirus.com รายงานตามสถานการณ์จริง พบว่ามียอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 6,169 คน และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 132 คน ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อของประเทศไทยนั้นอยู่ที่ 14 คน ซึ่งก็ยังคงครองตำแหน่งยอดผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 2 รองจากประเทศจีน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลทำให้หุ้นไทยตกลงกว่า 40 จุด เพราะประชาชนและนักลงทุนขาดความมั่นใจในการบริหารราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งหากประชาชนยังมีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ ก็มักจะไม่ส่งผลต่อการลงทุน ประกอบกับยังมีข่าวพร้อมหลักฐานออกมานำเสนอไม่เว้นแต่ละวัน กรณีที่ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลออกมาเสียบบัตรแทนกัน ซึ่งอาจส่งผลทำให้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2563 ล่าช้า ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า จากกรณีที่มีคนจำนวนหลายหมื่นคนรวมจากหลายจังหวัด จัดกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ขึ้นนั้นก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่าคนไทยเบื่อหน่ายการบริหารงานของพล.อ.ประยุทธ์ ขนาดไหน โดยที่ผ่านมาเป็นขาดความรู้ความเข้าใจในการแก้ปัญหาทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญญาเศรษฐกิจได้อย่างจริงจังและตรงจุด จริงอยู่ที่เศรษฐกิจของโลกส่งผลต่อภาคเอกชนทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง แต่หากรัฐบาลมีการส่งเสริมช่วยเหลืออย่างถูกวิธี เช่น ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ตกลงมาตลอด 6 ปี ส่งเสริมการส่งออก โดยหาตลาดให้กับบริษัทต่างๆ แก้ไขปัญหาตลาดแรงงาน ซึ่งหากเราดูรายงานจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จะพบว่าตัวเลขคนตกงานปี 2562 สูงถึง 1.9 แสนคน และหากรัฐบาลยังไม่หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด จำนวนคนตกงานในปี 2563 คงสูงมากขึ้นแน่นอน หากพิจารณาว่าเหตุใดปัญหาแรงงานจึงมีความสำคัญ พบว่าหากตลาดนี้มีปัญหา มักจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน และจะส่งผลกลับไปที่ภาคเอกชนทั้งระบบ ทำให้ขาดสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ และด้วยเหตุนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ จึงได้ตั้งชื่อรัฐบาลชุดนี้ว่า “รัฐบาลสีเทา” และถ้าหากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ โดยปราศจากการทุจริตคอร์รัปชันจริง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปากกล้าขาสั่นอีกต่อไป