“จุลพันธ์” ชี้ รัฐบาลปล่อยรายใหญ่ควบรวมกิจการเท่ากับรังแกรายเล็ก สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ และคณะทำงานทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า หรือ กขค.พิจารณาว่าการขออนุญาตรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้น จำกัด และ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ไม่เป็นการผูกขาด และไม่เสียหายต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาวนั้น มองว่าจะทำให้การแข่งขันในตลาดที่น้อยลง และทำให้ผู้ประกอบการรายนี้ได้ครองส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น นับเฉพาะจำนวนร้านสะดวกซื้อไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยละ 80 เพราะบริษัททั้งสองแห่งเป็นผู้ค้าปลีกอันดับต้นๆ ของประเทศ
เหตุใด กขค. จึงมองไม่เห็นว่านี่เป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้าอย่างชัดเจน เพราะในปัจจุบันเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ต่อเนื่อง ผู้ประกอบการรายเล็กเช่นร้านโชห่วยยอดขายตกต่ำ หากภาครัฐไม่ดูแล ธุรกิจรายเล็กในไทยจะย่ำแย่กว่านี้
“แบบนี้จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไรว่ารัฐบาลนี้เอาใจแต่เจ้าสัวละทิ้งประชาชน ยิ่งร้านสะดวกซื้อมาทำธุรกิจขายข้าวแกงขายผลไม้ และจะเลยมาทำตัวเป็นธนาคารได้อีก อีกหน่อยธุรกิจในไทยคงถูกกินรวบหมด” นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กขค. ตั้งขึ้นมาภายใต้ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้มีการผูกขาดการค้าในธุรกิจใดๆ และป้องกันไม่ให้บริษัทขนาดใหญ่เข้ามามีอำนาจเหนือตลาด หาก กขค. ที่มีหน้าที่โดยตรงและไม่ดูแลธุรกิจรายย่อยแบบนี้ ขอเสนอให้ยุบเลิกหน่วยงานนี้
“เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม ที่กฎหมายจัดการได้แต่รายย่อยคนตัวเล็ก เมื่อเจอยักษ์ใหญ่ก็เป็นมวยล้มอีก กขค. จึงเป็นเหมือนแค่เสือกระดาษเท่านั้น” นายจุลพันธ์กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า กว่า 6 ปีที่ผ่านมา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่รายได้ลดลง ความเหลื่อมล้ำยังเพิ่มขึ้น จากในอดีตก่อนการรัฐประหาร ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 11 ได้เพิ่มขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ในปี 2559 และขึ้นถึงอันดับ 1 ในปี 2661 ซึ่งมีปัญหาการกระจายรายได้อย่างมาก